เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ 3/4 นัดพบฟูจิซัง ที่ Kawaguchiko
มาเที่ยวกันต่อในวันที่ 4 ของทริปค่ะ อย่างที่บอกไว้ค่ะว่าเราจะไป Kawaguchiko กัน
(กลับไปตะลุย Disney Sea คลิกที่นี่)
ไปทำไมหนะเหรอ ไปดื่มด่ำธรรมชาติ และไปเยี่ยมชมความงามของฟูจิซังกันค่ะ แต่เช้ามาต้องเพิ่มพลังกันก่อนค่ะ วันนี้ฝากท้องกันกับร้านโปรดของพี่เอ๋เค้าล่ะ ร้าน CoCo Ichibanya จริงๆร้านนี้อยู่ระหว่างทางไปสถานีรถไฟค่ะ เพิ่งรู้ด้วยว่าเค้าเปิด 24 ชม เลยนะ อยู่ห่างจาก Ibis แค่เดิน 1 นาทีเท่านั้น เดินผ่านทุกวันไม่เคยสังเกตอ่ะ 555
ที่นั่งในร้านมีแต่แบบเคาน์เตอร์ บาร์ เหมือนร้านราเม็งทั่วไป ร้านที่ญี่ปุ่นเหมือนจะให้น
มาแล้วค่ะ จานนี้ของปลาเอง แกงกะหรี่ซีฟู้ด
ของพี่เอ๋ แกงกะหรี่ไก่กรอบ ต้องบอกว่ารสชาติเหมือนกันกับที่เมืองไทยเลยนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าไทยทำได้เหมือนที่ญี่ปุ่นดิ
หลังจากอิ่มแล้วก็กลับโรงแรมอีกรอบไปเพื่อ Check Out แต่ฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่ Ibis ก่อนค่ะ เอาเฉพาะใบเล็กเดินทางไปด้วย กลับจาก Kawaguchiko แล้วเราค่อยกลับมารับกระเป๋าคืนกัน
มาถึงจุดขึ้นรถบัส (ดูรายละเอียดตอนจองตั๋วในตอนที่ 1) ก็อยู่ที่ตึกที่เราไปจองตั๋วกันวันแรกนั่นแหละค่ะ จอดอยู่หน้าทางขึ้นชั้น 2 เลย
**** ที่ซื้อตั๋วและจุดขึ้นรถบัสไป Kawaguchiko เปลี่ยนไปอยู่ที่ Shinjuku Expressway Bus Terminal อยู่ทางออก South Exit ของสถานี Shinjuku โดยขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 4 ****
ยืนรอไม่นานนักรถก็มาค่ะ ตรงเวลามาก คนไทยที่ชอบเอ้อระเหย ไปญี่ปุ่นระวังตกรถกันนะคะ ที่นี่เค้าตรงเวลากันจริง ๆ การเดินทางไป Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ค่ะ โดยรถจะขึ้นทางด่วนที่ชินจูกุเลย
บนรถมีจอทีวีบอกรายละเอียด และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่าง ๆ คือจริง ๆ ก็ฟังไม่ออกหรอกค่ะ แหะแหะ ดูแต่รูปน่าจะใช่ล่ะนะ
ที่นั่งนั่งสบายดี บนรถก็สะอาด สะอ้าน วันนั้นเป็นวันธรรมดาพอดี ที่นั่งเลยไม่เต็มค่ะ นั่งกันสบายๆ
เมื่อวานตอนเที่ยว Disney Sea ฝนตก อากาศเลยเย็นมากกก ภูมิเลยให้อันนี้มาใช้ค่ะ เป็นถุงร้อนแบบพกพา ลักษณะเป็นถุงกระดาษข้างในมีผงที่ทำปฏิกิริยากับอากาศแล้วเกิดความร้อน เอาไว้ใส่ในกระเป๋าเสื้อก็ได้นะคะ ให้ความอบอุ่นดี เราว่ามันเจ๋งดีนะ ก่อนขึ้นรถเลยไปซื้อมาเพิ่มอีก 5 แผ่น
นั่งรถกันมาประมาณ 1 ชม. มองไปข้างหน้าเห็นอะไรลาง ๆ ตอนแรกนึกว่านั่งรถนานแล้วตาฝาด แต่มองดูดีๆ อีกที ปรากฏว่ามันคือ ภูเขาไฟฟูจิ ค่าาาาาาาาาาาา อยากบอกว่าดีใจมากกกกกกก ตื่นเต้นกันสุด ๆ ไม่คิดว่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ตรงนี้ มันใหญ่จริง ๆ นะคะ ขนาดแค่เห็นแบบลาง ๆ แบบนี้นะ ก่อนมาญี่ปุ่นมีแต่คนอวยพรขอให้ได้เห็นฟูจิซังเต็ม ๆ ไม่เจอฟูจิซังเหนียมอาย ตอนนั้นดีใจมาก ไลน์กลับมาเม้าท์กับเพื่อนใหญ่ ว่าตรูเห็นแล้วววววว 555
นั่งรถไปอีก 1 ชม ค่ะถึงจะได้ลงทางด่วน พอลงทางด่วนก็ถึงสถานีแรก Highland Resort โรงแรมของสวนสนุก Fuji-Q Highland
เริ่มเห็นเครื่องเล่นแล้ว ตื่นเต้นอีกแล้ว ใช่แล้วค่าา เด๋วอิชั้นจะมาปล่อยแก่ที่นี่ด้วย 555 พี่เอ๋เค้าเห็นแล้ว เค้าว่าก็ไม่เท่าไหร่ หึหึ พรุ่งนี้เจอกันแล้วจะได้รู้ ว่าไม่เท่าไหร่จริงหรือเปล่า 555
เลี้ยวออกมาจาก Highland Resort เริ่มเห็น ฟูจิซัง ชัด ๆ แล้ว
มุมนี้ก็สวยดีนะ สถานีต่อไป Kawaguchiko แล้ว
แค่ 2 นาทีก็มาถึง สถานี Kawaguchiko แล้วจ้า เวลาตอนนี้ประมาณเที่ยงนิด ๆ แต่อากาศนี่สิ คือหนาวมากกก (สำหรับเก๊านะ) เพราะลมแรง ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมินี่เท่ากับตอนอยู่ในโตเกียวนะ แต่ความรู้สึกเนี่ย มันหนาวกว่ากันเยอะเลยอ่ะ ลงจากรถมาได้ ปลารีบพุ่งไปห้องน้ำ ไม่ใช่ปวดท้องนะ แต่รีบเข้าไปเปลี่ยนใส่ลองจอนเพิ่มอีกชั้นเลย ส่วนพี่เอ๋เค้ายังพอไหว เค้าว่ากำลังดี
ที่สถานีมีร้านอาหารและร้านขายของฝากด้วย เลยแวะเข้าไปซื้อข้าวปั้นกับโดริยากิเก็บไว้กินซะหน่อย
มีโบกี้รถไฟจอดโชว์อยู่หน้าสถานีด้วย เพราะอะไรน่ะรึ เพราะสถานีนี้เป็นสถานีรถไฟด้วยน่ะสิคะ
ตรงข้ามโบกี้รถไฟเป็น ศูนย์บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว
ก่อนไปญีุ่ปุ่นเราได้คุยกับทางโรงแรมเรื่องการเดินทางเข้าที่พัก ทาง รร บอกว่า มาถึงแล้วเราสามารถให้ทางศูนย์ติดต่อโรงแรมเพื่อส่งรถมารับได้ แต่พอไปถึงจริงศูนย์บอกว่า โรงแรมจะมารับหลังบ่าย 2 เท่านั้น เราเลยตัดสินใจเดินทางไปเองดีกว่านั่งรอเวลาเฉยๆ
ข้างในศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว มีบัตรส่วนลดของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในบริเวณนี้ด้วย ใครมาถึงแล้วอย่าลืมแวะเข้าไปหยิบกันนะ
การเดินทางที่ Kawaguchiko เราจะใช้ Retro Bus เป็นหลักค่ะ โดยแบ่งเส้นทางเป็น 2 สาย คือฝั่งขวา กับฝั่งซ้าย ของ Kawaguchi Lake ซึ่งค่าโดยสารนั้นเราสามารถจ่ายบนรถตอนเราจะลงได้ค่ะ หรือซื้อตั๋ว 2 Day Pass ก็ได้ โดยราคาสำหรับฝั่งขวาคือ 1000 เยนต่อคน
จากภาพแผนที่จะมีตัวเลขบอกป้ายต่าง ๆ ที่รถจอด สามารถใช้อ้างอิงและนับป้ายเพื่อลงรถได้ (เราต้องรู้เอาเองว่าจะลงตรงไหน หรือจะบอกพนักงานขับรถก็ได้ว่าจะไปไหน) ส่วนโรงแรม Hotel New Century ที่พักของเรา เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวบอกว่าอยู่ระหว่างป้าย 12 กับ 13 แต่ลงป้าย 12 จะเดินใกล้กว่า
ไปญี่ปุ่นรอบนี้เจอคนไทยเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จนนึกว่ายังอยู่เมืองไทย ตอนอยู่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็เจอคนไทย ที่ชี้บอกทางให้กับเราด้วย นี่พอมาบนรถก็เจอคนไทยอีกค่ะ เจอคนไทยที่อยู่ที่ญี่ปุ่นด้วย เค้าบอกว่ามีตั๋ว 2 Day pass แบบ 2000 เยนด้วยนะ เป็นตั๋วที่รวมค่าขึ้นกระเช้าที่ Kachi Kachi yama Ropeway กับล่องเรือในทะเลสาบด้วย เหมือนเจ๊จะพลาดอะไรไปนิดนึงนะ
จริง ๆ มีเวลากำกับไว้ด้วยว่ารถจะมาถึงแต่ละป้ายในเวลาเท่าไหร่ แต่รถที่นี่ไม่ค่อยตรงเวลาเลยค่ะ บางทีมาติด ๆ กัน บางทีห่างกันนานมาก อย่างตอนที่ขึ้นรถไปโรงแรมมาติด ๆ กัน 2 คัน อ้อ จะขึ้นรถนี่ต้องดูดี ๆ ด้วยนะคะ เพราะสถานีตรงนี้มีรถหลายสายอยู่ ดูที่หน้ารถก็ได้นะคะ เค้าจะมีป้ายบอกว่าไปไหน ถ้าไม่มั่นใจก็ถามกับ จนท ที่มากับรถได้ค่ะ
จากสถานีรถมองไปฝั่งตรงข้าม มีป้ายบอกอุณหภูมิด้วยนะ ตอนนั้นก็16.5 องศา อย่างที่บอกว่าจริง ๆ อุณหภูมิพอ ๆ กับโตเกียว แต่ที่นี่ลมแรงกว่า
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็มาถึงป้ายที่ 12 แล้วค่ะ รร เพียบเลย น่าจะเป็นเพราะอยู่ตรงจุดทะเลสาบพอดี
ถ่ายกะฟูจิซังซะหน่อย จะได้มีหลักฐานว่ามาถึงแล้ว อิอิ
จากจุด 12 ที่เราลงรถ เดินมาอีกประมาณ 100 เมตรก็ถึงโรงแรมแล้วค่ะ Hotel New Century เราจองผ่าน Rakuten ค่ะ (ห้องที่เราพักอยู่ห้องริมซ้ายชั้นสูงสุดในภาพ)
เข้าไปจะเช็คอิน แต่พนักงานแจ้งว่าห้องจะพร้อมตอนบ่าย 3 เราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ Lobby กันก่อนค่ะ เราจะได้ไปเที่ยวกันได้เลยไม่ต้องเสียเวลา การสื่อสารที่นี่ค่อนข้างลำบากนิดนึงค่ะ เพราะทั้งโรงแรมมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ 2 คนเอง
ถ่ายวิวฟูจิซังหน้าโรงแรมหน่อย
เริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีบ้างเล็กน้อยแล้วค่ะ ดีใจนะเนี่ย เพราะตอนก่อนไปยังกลัวอยู่ว่าจะยังแดงไม่ถึงตรงนี้ซะอีก
ระหว่างซึมซับบรรยากาศ ก็มารองท้องกันด้วยข้าวปั้นกับขนมที่ซื้อมาจากสถานีรถกันค่ะ อยากบอกว่ามันอร่อยนะ อร่อยจนอยากกลับไปซื้อมากินอีกเลยอ่ะ
หลังจากนั้นเราไปเที่ยวกันค่ะ เดินย้อนกลับมาที่ป้าย 12 อีกที เพื่อขึ้นรถบัสเมื่อกี้นี่แหละค่ะ ที่แรกที่เราจะไปคือ Music Forest
รอรถอยู่นานเชียวค่ะ พอมาถึงก็เต็มขึ้นไม่ได้ซะงั้น ระหว่างรอรถก็ถ่ายรูปเล่นกันไปค่ะ พี่เอ๋เอาเลนส์ใหม่ที่ซื้อมาขึ้นมาลองซะเลย
มาถึง Music Forest แล้วล่ะค่ะ ใช้เวลานั่งมาแป๊บเดียวก็ถึงป้าย 16 คือนั่งรถนะแป๊บเดียว แต่เดินนี่ไกลอยู่นะ แถวนี้อยู่สูงกว่าริมทะเลสาบ อากาศเลยเย็นกว่า ใบไม้เปลี่ยนสีก็เยอะกว่าไปด้วยค่ะ
ให้สมกับเป็น Music Forest พิพิธภัณฑ์ทางดนตรี ด้านหน้าเลยมีกล่องดนตรี หมุนแล้วมีเสียงเพลงเพราะๆ ออกมาค่ะ
ทางเดินไปห้องขายบัตร ตรงนี้เป็นที่สูบบุหรี่ ต้นไม้เหลืองสวยดี
ราคาบัตรค่าเข้าคนละ 1,300 เยนค่ะ แต่เรามีบัตรลดราคาที่ได้จากศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว เลยเอามาลดได้คนละ 200 เยน (มั้งคะ จำไม่ได้แล้ว 5555)
เข้ามาข้างในแล้ว น่ารักเชียวค่ะ ทางเดินจะบังคับให้เราเข้าสู่ห้องแสดงดนตรีก่อนเลย
เดินเข้ามาอยู่ระหว่างรอบการแสดงพอดี เป็นการแสดงดนตรีโดยรูปปั้นที่อยู่ตามพนัง และ กำแพงห้อง ต้องบอกว่าเป็นการแสดงที่น่ารักดีนะคะ เพลงก็เพราะด้วย น่าเสียดายได้ฟังแค่เพลงครึ่งเท่านั้น ก็หมดรอบพอดี จะรอฟังรอบต่อไปต้องรออีกเป็นชั่วโมง
ออกมาจากห้องแสดงดนตรี มาส่วนกลางแจ้งบ้าง มุมนี้ก็สวยนะคะ ต้องบอกว่าเค้าทำสถานที่ได้สวย น่าถ่ายรูปมากๆ เลย
เดินเรื่อย ๆ ไปอีกอาคารนึงค่ะ เป็นอาคารส่วนแสดงและขาย ตู้เพลง บางรุ่นนี่เก่ามากเลยนะ ดูขลังดี
ราคาตู้หนึ่งแค่ เกือบล้านเยนเท่านั้นเอง
เดินขึ้นมาชั้นบนจะพบกับแบบจำลอง อีกห้องนึงเป็นเหมือนที่เก็บเครื่องเล่นดนตรีเก่า ๆ มีเจ้าหน้าที่อธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น ยืนฟังสักพักเพิ่งคิดได้ว่าฟังไม่ออกนี่หว่า 555 จริง ๆ ต้องบอกว่าในโซนพวกปราสาทจำลองพวกนี้ มีบรรดาตุ๊กตาด้วยนะคะ แต่เราแอบรู้สึกหลอนเล็ก ๆ เราว่าถ้ามากลางคืนนี่คงมีขนลุกเหมือนกัน เลยชวนพี่เอ๋ออกไปเดินเล่นด้านนอกดีกว่า
โชคดีมากเลยค่ะ วันที่ไปฟ้าใสมาก อากาศก็ดีสุด ๆ ในรูปที่เห็นนี่เป็นร้านอาหารนะคะ ขายอาหารฝรั่ง พวกเสต๊ก สปาเก็ตตี้ไรงี้ ราคาก็สูงนิดนึง แต่เราไม่ได้กินค่ะ แค่ถ่ายรูปเล่นอย่างเดียว แต่แค่นี้ก็ฟินแล้วอ่ะนะ
เดินถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อย ๆค่ะ อากาศดี วิวสวย มันใช่เลยจริง ๆ
มีร้านขายของที่ระลึกด้วยนะคะ ก็เป็นของที่เน้นเกี่ยวกับดนตรีนั่นแหละค่ะ พวก Music box ไรทำนองนี้
มีคนมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันด้วยล่ะ
เดินจนทั่วแล้วก็ได้เวลากลับกันค่ะ ออกมาเดินถ่ายรูปเล่นที่ถนนกันอีกสักหน่อย ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากเลยอ่ะ
แม้แต่ฝาท่อยังน่ารักเลยเห็นมั้ย ไปเมืองไหนฝากท่อก็จะเป็นรูปสัญลักษณ์เมืองนั้นนะ
เดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนมาถึงป้ายที่ 15 ค่ะ เพิ่งคิดได้ว่า ข้าวกลางวันยังไม่ได้กิน กินแต่ข้าวปั้นกับโดรายากิไปเท่านั้น เลยเดินหาของกินแถวนี้ดู ปรากฏไม่มีสิ คือกะจะกินแค่กินเล่นเบา ๆ เพราะมันใกล้ได้เวลามื้อเย็นแล้ว เราต้องเก็บท้องเรากลับไปกินมื้อเย็นที่ รร ที่เค้าจัดไว้ให้ ปรากฏแถวนี้มันไม่มีแบบกินเล่นสิ มีแต่เป็นร้านกินจริงจังทั้งนั้น เลยอดกินไป แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่า จากป้าย 16 เดินไปทาง ป้าย 17 น่ะ มีร้านของกินเพียบ
ระหว่างเดินหาของกินเจอรถคันนี้เข้าค่ะ คือไม่ค่อยได้เห็น เลยขอแอบถ่่ายกลับมาหน่อยเหอะ 555
ที่ป้าย 15 นี้เรารอรถเพื่อที่จะกลับ รร อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง อยากบอกว่าลมพัดตลอดเวลา ลมแรงด้วย เลยทำให้อากาศหนาวมาก อุปกรณ์กันหนาวที่มีแทบจะเอาไม่อยู่ เราสองคนยืนกอดกันกลมเลย ไม่ไหวจริงๆ น้ำมูกเริ่มย้อยละ 5555
สุดท้ายเรากลับมาถึงโรงแรมตอน 4 โมงครึ่งค่ะ พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วอ่ะ คือหน้าหนาวที่นี่ 5 โมงก็มืดแล้ว จากตอนแรกตั้งใจว่ากลับจาก Music Forest เราจะไปขึ้นกระเช้าที่ Kachi kachi yama กับไปถ่ายรูปที่เจดีย์แดง ต้องยกเลิกไป เปลี่ยนแผนเป็นเข้าไปพักในโรงแรม รอเวลากินอาหารเย็นที่โรงแรมเตรียมไว้ให้เวลา 18:30 น. มาถึงหน้า รร ปั๊บ ขอถ่ายรูปหน่อยเหอะ ฟ้ากำลังสวยเลยอ่ะ
ถ่ายรูปเสร็จก็เข้า รร กันค่ะ มาดูข้่างในกันซะหน่อย โรงแรมนี้มี 2 ตึก มีบ่อออนเซ็น 2 บ่อนะคะ ที่ชั้น 7 ของตึก A เป็นบ่อที่สามารถดูวิวฟูจิซังได้ และ ชั้น 1 ของตึก B เป็นบ่อจากุชชี่
บ่อออนเซนจะแบ่งเวลาใช้งานสลับชายหญิง ก่อนลงไปใช้บ่อก็ดูดีๆนะคะ เด๋วไปผิดที่เข้าไปล่ะมีตกใจแน่ๆ 555
ที่ชั้น 1 ตึก B มีร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ของโรงแรมด้วย เนื่องจากความหิวเราเลยซื้อขนมมากินรองท้องกันค่ะ ป้าเจ้าของร้านพูดอังกฤษไม่ได้เลย ถามอะไรตอบเป็นราคาอย่างเดียว 555
เข้าห้องพักกันค่ะ ห้อง 601 ประตูเป็นเหล็กหนักมากกกกกก
เปิดประตูเข้ามาปั๊บ มองตรงไปเป็นส่วนโถงห้อง ส่วนทางซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ ขวาเป็นอ่างล้างหน้าและห้องสุขา มีช่องเก็บรองเท้าให้ด้วย
เราได้ห้องนี้มาในราคา ประมาณ 12500 เยน ต่อคน ต่อคืน ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับ Set อาหารที่เราเลือกค่ะ แต่เมื่อเทียบห้องกับราคาแล้ว ถือว่าไม่แพงเลยนะคะ ห้องใหญ่ (ใหญ่กว่าที่โตเกียวเยอะ) อาหาร 2 มื้อต่อวัน เช้าเย็น พร้อมแช่ออนเซ็นฟรีทั้งวัน แถมในห้องก็เห็นวิวฟูจิแบบนี้อีก คุ้มสุด ๆ ล่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกมีตู้เย็น TV และตู้อะไรสักอย่างใต้ตู้เสื้อผ้า ด้านขวาเป็นตู้เก็บที่นอน
นั่งกินขนมกัน เห็นบานเลื่อนสีครีมด้านหลังเรามั้ยคะ นั่นแหละเป็นตู้เก็บพวกที่นอน แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เราไม่ต้องปูเอง ถึงเวลาจะมีพนักงานมาจัดการปูให้เสร็จสรรพ
ข้างในตู้เสื้อผ้าค่ะ ไม่มีอะไรมาก แต่มีชุดยูกาตะ (เรียกงี้ป่ะ) วางไว้ให้ 2 ชุดค่ะ
แอบเปิดตู้เก็บที่นอนดูซะหน่อย คือถ้าให้กางที่นอนเองนี่ก็มีงงอยู่นะ 555
ในห้องไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง แต่มีกระจกพับได้เอาให้แต่งหน้า เค้าชอบบบบ น่ารัก เก๋ไก๋ดี
ที่ญี่ปุ่นเค้าไม่มีน้ำเปล่าเป็นขวดๆให้แบบบ้านเรานะคะ แต่เค้าจะมีเป็นชาเขียวแบบนี้ให้มากกว่า ชุดชาเขียวพร้อมกระติกน้ำร้อนอยู่ข้าง TV จะบอกว่าชาเขียวของเค้าอร่อยมากอ่ะค่ะ ปกติปลากับพี่เอ๋นี่ไม่ชอบชาเขียวเลยนะคะ รู้สึกว่ามันเหม็นเขียวสมชื่อมาก แต่ของที่นี่ไม่เลยอ่ะ
มีขนมให้กินด้วยนะ วางอยู่ตรงชุดชานี่ล่ะ
ไปสำรวจห้องน้ำกันบ้างค่ะ เปิดเข้าไปนี่ตกใจเลย คือมันเล็กมาก ห้องอาบน้ำมีแค่ที่เห็นในรูปนี่แหละค่ะ
ห้องน้ำว่าตกใจแล้ว เปิดไปเจอห้องสุขา ตกใจยิ่งกว่า คือได้แค่ยืนหมุนตัวซ้ายขวาแค่นั้นแหละค่ะ 5555
อันนี้อ่างล้างหน้า จะอยู่นอกห้องน้ำ ห้องสุขานะคะ ประตูส้มๆ ที่เห็นน่ะ คือประตูห้องค่ะ เรียกว่าเปิดห้องเข้ามาปั๊บ หันขวาปุ๊บจะเจออ่างล้างหน้าเลยค่ะ
ถ่ายห้องเสร็จ หันไปดูวิวด้านนอกหน่อย ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว
ได้เวลาลงไปหม่ำมื้อเย็นกันแล้วล่ะค่ะ ว่าแล้วก็เปลี่ยนชุดให้เข้ากับสถานที่หน่อย น่ารักป่ะ อิอิ อัพลง fb มีแต่คนมาแซวว่าโนบิตะกับชิซูกะ 5555
ห้องอาหารของที่นี่อยู่ชั้น 3 ของตึก A ค่ะ ลงมาถึงแล้วตกใจตอนเห็นอาหารบนโต๊ะ ทำไมมันเยอะอย่างเนี้ยยยยยยย Set อาหารที่จองไว้สามารถเลือกอาหารจานพิเศษได้แก่ Lobster, Zuwai Crab และ Funamori (Sashimi on boat)
พอนั่งปุ๊บก็จะมีพนักงานเป็นคุณป้า ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พูดไทยคำว่า”อร่อย”ได้ มาแนะนำวิธีกินเป็นภาษาญี่ปุ่นรัว ๆ เหมือนจะบอกว่าอันนี้กินกับอันนี้ แต่…ฟังม่ายยยออก บอกคุณป้าว่า English please คุณป้าก็ยิ้มหวานให้ แล้วพ่นญี่ปุ่นต่อ เราเลยตีความว่า กิน ๆ ไปเถอะ
เซ็ทอาหารที่นี่เค้าจะมีให้เลือก main course เองค่ะ
1.Beef-Steak, 2.Beef-Sukiyaki, 3.Pork-Shabushabu, 4.Skipper (Fish)-Shabushabu, 5.Mixed-Grill.
ที่เห็นในภาพคือ Mixed-Grill เป็นเตาให้ปิ้งย่าง จากมุมนี้อาจไม่เห็นว่ากุ้งมันตัวใหญ่อยู่นะ
นอกจากกุ้งในรูปบน ยังมีเครื่องไว้ให้ปิ้งเพิ่มเติมอีก
ที่เหลือก็จะเป็นอย่างละนิดอย่างละหน่อย เช่น ปลาดิบ
อันนี้เป็นปลากับอะไรไม่รู้ กินไงก็ไม่แน่ใจ แต่ก็กิน ๆ ไป 555
อันนี้เทมปุระ คุณป้าเค้าพูด ๆ แล้วชี้ไปที่ผงเขียว ๆ เดาเอาว่าไว้จิ้มกินด้วยกัน อยากบอกว่าเทมปุระอร่อยมากอ่ะ
เครื่องเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียกอะไรไม่รู้ ถ้วยนึงเป็นกุ้งกะเห็ดหอมอร่อยดี อีกถ้วยแดง ๆ คือไรไม่รู้ กินเข้าไปก็ยังไม่แน่ใจ 5555
อันนี้น่าจะ หมี่เย็น ป่าว ไม่แน่ใจ น้ำซุปอร่อยดีค่ะ
ชุดเมื่อสักครู่เป็นของพี่เอ๋ค่ะ ส่วนชุดนี้ของปลาเอง เครื่องเคียงอะไรเหมือนกันหมดค่ะ ต่างกันแค่ Main course
Main course ที่ปลาเลือก Skipper (Fish) หรือง่าย ๆ คือชาบูนี่ล่ะค่ะ
นี่คืออัลไล รู้แต่เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แปลกดี ก็กิน ๆ ไป 555
ยังไม่หมดนะ ยังมีLobster ให้อีก กินกันคนละตัวนะ ผ่าครึ่งมาให้เรียบร้อย ตัวไม่ได้ใหญ่มาก แต่เนื้อแน่น สดดีค่ะ
มาถึงอันนี้ค่ะ เป็นหม้อใบเล็ก ๆ ตั้งไฟอยู่ มีฝาปิดด้วย เปิดออกมานึกว่าเป็นน้ำซุบ น้ำแกงอะไร คือตอนแรกคุณป้าเค้าก็อธิบายล่ะนะ แต่เราฟังไม่ออกอ่ะ เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอเราเปิดฝาปุ๊บพนักงานเดินมาทำมือว่าห้ามเปิด พร้อมหยิบกระดาษมาให้ดูว่าต้องรอ 30 นาที ก็ได้แต่นั่ง งง กันไป แล้วอีนี่ก็เปิดดูหลายทีมาก คุณป้าแกก็ขยันเดินมาห้ามทุกครั้งอ่ะ 555
สุดท้าย เวลา 30 นาทีก็ผ่านไป คุณป้าเดินมาเปิดฝาให้เองค่ะ แล้วเราก็ได้รู้ว่ามันคืออะไร มันคือข้าวค่าคุ๊ณณณณณณ คือมาสุกเอาตอนอิ่มแล้ว ทำไงดี แต่ก็ตักมากินนะคะ พยายามมาก จะบอกว่ามันอร่อยมากค่ะ เสียดายที่สุกตอนอิ่มแล้ว ไม่งั้นล่ะหมดแน่ ๆ เสียจุยมากเลย สุดท้ายกินข้าวในหม้อนี่ไม่หมดค่ะ ไม่ไหวจริง ๆ
นี่อิ่มแล้ว คุณป้ายังเดินมาถาม เติมข้าวสวยมั้ยคะ อันนี้เดาเอา เพราะป้าแกชี้ ๆ ที่ถ้วยข้าว คือไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ จะคลานแล้วตอนนี้ สุดท้ายคุณป้าเลยยกเค้กผลไม้มาให้ล้างปากค่ะ อยากจิกลิ้งกลับห้องมาก ณ จุดนี้
อิ่มเสร็จกลับขึ้นมาถึงห้อง มีคนมาปูที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว นั่งพักย่อยอาหารสักพัก อยากบอกว่ามันชิลล์มากเลยอ่ะ ใช้ชีวิตในนี้ ชอบ ๆ
หลังอาหารย่อยเราก็แยกย้ายไปแช่ออนเซ็นกันค่ะ หลายคนคงเขิน ถามว่าเขินมั้ย ก็เขินนะ แต่มาแล้วอ่ะ ไม่ลงได้ไง หลับหูหลับตาลงไปเหอะ คนญี่ปุ่นเค้าก็ชินกันหมดแล้วล่ะ
แต่ปรากฏลงไป คนไทยทั้งห้องฮ่ะ 555555 ก็กัดฟันไปค่ะ คิดซะว่าไม่รู้จักกัน ออกจาก รร ก็แยกย้ายกันหมดแล้ว ไม่ต้องอาย อิอิ คือแอบเม้าท์นิดนึงนะ รร นี้คนไทยไปพักเยอะมากกกกกก เยอะขนาดว่าตอนไปนั่งกินข้าว ทั้งห้องเป็นคนไทยอ่ะ แถมเราเจอเพื่อนบ้านที่อยู่คอนโดเดียวกันด้วยนะ ยังต้องแอบตกลงกันว่าใครจะลงออนเซ็นกันตอนไหน กลับมาเมืองไทยจะได้ไม่เขินกันมาก 5555
ไม่มีภาพให้ดูนะคะ เพราะเค้าห้ามถ่ายรูปในออนเซ็น แต่ขอบอกว่าใครไปนี่ต้องไปแช่นะคะ มันสบายจริง ๆ ยิ่งถ้าเที่ยวมาทั้งวัน เดินจนปวดเมื่อยเนื้อตัว นี่คือใช่มาก อากาศหนาว ๆ มาแช่ออนเซ็นนี่มันคือฟินเลย กลับมาห้องนอนหลับสบายยยยยยยเลยล่ะค่ะ
วันที่ 5 จะไปปล่อยแก่กันอีกรอบที่สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นเสียวๆ ตามไปอ่านกันต่อได้ที่ ตอนที่ 4 เลยนะคะ