ขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ตอนที่ 3 ชมปราสาท Linderhof ข้ามแดนสู่ Innsbruck Austria

ขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ตอนที่ 3 ชมปราสาท Linderhof ข้ามแดนสู่ Innsbruck Austria

 

เช้าวันที่ 3 ของทริป วันนี้เราจะเดินทางไกลข้ามประเทศกันเป็นครั้งแรก  แต่ก่อนจะข้ามเขตแดนเรามีที่เที่ยวให้แวะอีกหลายแห่ง  เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะต้องรีบออกเดินทางกันแต่เช้า  บ๊ายบาย hotel fantasia

Hotel Fantasia

และเนื่องจากทีมเราไม่ได้ซื้ออาหารเช้าของที่โรงแรมเพิ่มไว้  เราเลยไปแวะ McDonald ระหว่างทางแทน ซึ่ง ณ จุด ๆ นี้ เราลืมถ่ายรูปมา 555 แต่จะบอกว่าราคาดี น่าคบหา แถมของจริงเหมือนรูปที่โชว์เป๊ะ  เพราะฉะนั้นใครมายุโรป ใช้ McDonald เป็นที่พึ่งได้เมื่อยามงบใกล้หมด 55555

หลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็มุ่งหน้าไปที่หมายแรก แต่อาจเป็นทางผ่านของคนอื่น ทะเลสาบ Plansee

Plansee

Plansee เป็นทะเลสาบที่เป็นทางผ่านสำหรับคนที่จะไป ปราสาท Linderhof  แต่เผอิญพี่เอ๋เจอรูปถ่ายริมทะเลสาบใน Google แล้วมันแอบน่าสนใจ วินาทีแรกที่เห็นคือมันเงียบสงบมาก แบบได้ยินเสียงนกบิน เสียงน้ำไหลตามลำธาร และ โตรกหิน ได้ยินเสียงกิ่งไม้ที่ไหวตามลม เป็นเสียงธรรมชาติอย่างชัดเจน

Plansee

น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา น่าจะมาจากหิมะที่เริ่มละลาย น้ำในลำธารเลยสีสวยใสเป็นมรกตแบบนี้

Plansee

ถ่ายรูปให้ธรรมชาติเป็นสักขีพยานในความรักของสองเรา หูยยยยยย  เลี่ยนเนอะ 555

Plansee

และเมื่อเราถ่ายรูปกันจนเมมแผ่นแรกแทบเต็ม  ก็คิดว่าต้องเดินทางต่อซะที ไม่อย่างนั้นเมมจะไม่เหลือพอสำหรับที่สุดท้าย  แต่พอจังหวะที่เรากำลังหันหลังเดินกลับ จู่ๆ ลมก็นิ่ง ทุกอย่างเงียบสงัด แล้วน้ำในทะเลสาบก็หยุดเคลื่อนไหว กลายเป็นกระจกสะท้อนภูเขาให้เราเห็น  พวกเราเลยวิ่งกลับมาถ่ายใหม่กันอีกรอบ แบบว่าไม่สนว่าเมมจะเต็มมั้ยแล้ว

Plansee

เมื่ออิ่มกับรูปแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ  จริง ๆ แล้วคือลมเริ่มมาอีกรอบมากกว่า 5555  จุดหมายต่อไปของเรา ปราสาท Linderhof

ปราสาท Linderhof

ที่นี่เราไม่ได้จองตั๋วเข้าชมปราสาทมาก่อน  ก็มาต่อคิวซื้อที่ด้านหน้าแทน ซึ่งดีใจกันมาก เพราะคนน้อย ตอนแรกแอบกังวลว่าคนจะเยอะแบบปราสาทนอยฯ หรือเปล่า  ถ้าเยอะขนาดนั้นบอกเลยว่าคงได้เปลี่ยนแผนไปที่อื่นทันที

ปราสาท Linderhof

มาซื้อตั๋วแล้วราคาค่าเข้าชมปราสาท 7.5 ยูโร

ปราสาท Linderhof

ปราสาท Linderhof

จากจุดซื้อตั๋วเราต้องเดินเข้าไปเรื่อย ๆ ผ่านสระน้ำบรรยากาศดี๊ดี

แต่พอเดินมาถึงสวน Highlight ของที่นี่ สิ่งที่เห็นคือกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เค้าปิดปรับปรุงสวนข้างนอกจ้า  แล้วอีปราสาทนี้จุดเด่นคือสวนด้านนอกนี่แหละ  แต่นี่ก็ลืมคิดไปเนอะ หน้าหนาวที่ไหนจะมีดอกไม้บาน หญ้าเขียวขจี  อยากจะหยิกสมองตัวเองชะมัด 5555

จากสิ่งที่คิดจินตนาการวาดฝันไว้ คือสวนสวยหญ้าคือความเขียวขจี  มีซุ้มดอกไม้นานาพันธุ์ให้เราไปแอ๊บสวยถ่ายรูปหวานๆ

แต่สิ่งที่เจอในโลกแห่งความจริงในหน้าหนาว คือ กล่องไม้ครอบปิดรูปปั้นสีทองกลางบ่อน้ำ ส่วนของความขาวโพลนของหิมะไม่ใช่อุปสรรคทำลายความงาม หากไม่นับรั้วที่กั้นห้ามเข้า กับบรรดาเครนก่อสร้าง และรถแบ็คโฮอีกหลายคัน  ล้องห้ายยยยยย T T

ปราสาท Linderhof

ว่าแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับตัวปราสาทแทนดีกว่า และ เช่นเคยที่นี่ห้ามถ่ายรูปข้างใน  ขอบอกเล่าแบบคร่าว ๆ พอเป็นกระสัยละกันว่า นี่คือปราสาทอีกหลังของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 (ก็คนเดียวกะที่สร้างปราสาทนอยฯ นั่นล่ะ) แต่หลังนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแวร์ซายน์ของฝรั่งเศส แต่แอบแปลกใจนิดกับขนาด เพราะเล็กมากผิดกับปราสาทนอยฯ เดินเข้าไปแล้วฟิลลิ่งเหมือนไปเยี่ยมบ้านเพื่อนที่เป็นมหาเศรษฐีมากกว่าจะเป็นปราสาทพระราชวัง  แต่…เป็นบ้านที่ดูมีคลาส สง่างาม โดยเฉพาะ Endless Corridor ที่ออกแบบมาให้ห้องแคบ ๆ กลายเป็นทางเดินที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ปราสาท Linderhof

หลังจากแวะเยี่ยมบ้านเพื่อนเสร็จ  (5555) เราก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายถัดไปของเราคือ เมือง Mittenwald  นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายหลักของที่เที่ยวในเยอรมัน  นี่เห็นรูปเมืองนี้ตอนหาข้อมูลที่เที่ยวแล้วกรีดร้อง   แต่ระหว่างทางที่เราจะไป พี่เอ๋ก็ดันเจอที่หมายรองให้เราแวะเที่ยวเพิ่ม นั่นคือโบสถ์ Ettal

Ettal

พี่เอ๋เล่าให้ลูกทีมฟังว่า นี่คือโบสถ์ที่ใหญ่มาก แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ระหว่างทาง  เอ่อ…เล่าแค่นี้ ไม่รู้จะเล่าทำไม 5555  คือยังไงทุกคนก็ยอมไปล่ะน่ะ แล้วพอไปถึง  คุณพระคุณเจ้า!  ใหญ่จริงค่ะ ใหญ่มาก ใหญ่จนรู้สึกตัวเองเป็นปลวกที่โผล่พ้นดินขึ้นมาแล้วเห็นโลกข้างนอก  ใหญ่โตอลังการแต่เงียบสงบจนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์มีมนต์ขลัง จนไม่กล้าเอ่ยปากคุยกันต้องใช้รหัสมือและอ่านปากเอาแทน

Ettal

Ettal

ข้างในโบสถ์หนาวมากกก หนาวจนรู้สึกผิดที่ทิ้งเสื้อกันหนาวอีกตัวไว้ในรถ

Ettal

เยี่ยมชมความศักดิ์สิทธิ์เสร็จก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางที่ขับรถผ่านหมู่บ้านนี้ คือเป็นหมู่บ้านที่เล็กมากจริง ๆ  เล็กและเงียบมาก สงบมาก เหมือนหมู่บ้านร้างแต่ไม่ร้าง เล็กจนแปลกใจที่มีโบสถ์ใหญ่ขนาดนี้อยู้ในหมู่บ้าน

ก่อนจะถึงหมู่บ้าน Mittenwald เราแวะกันอีกที่ (ไม่ถึงซะที 5555) เมือง Garmisch-Partenkirchen เป็นเมืองที่นักเล่นสกีจะมาพักกัน ก่อนจะขึ้นเขา Zugspitze ไปเล่นสกีกัน ในเมืองเลยคึกคักมาก เต็มไปด้วยคนแต่งชุดสกีเดินกันทั่วเมือง มีร้านค้าขายอุปกรณ์กันหนาว อุปกรณ์สกีเพียบ  รวมไปถึงมีที่พักและร้านอาหาร  ซุปเปอร์มาร์เก็ตอีก  แต่เป็นเมืองที่น่ารักมากๆ เมืองนึงเลย 

Garmisch-Partenkirchen

Garmisch-Partenkirchen

แล้วถามว่าเรามาแวะกันทำไม  ก็มากินมื้อกลางวันไง  เค้าว่าเมืองนี้มีร้านเด็ดอยู่  ร้าน Zumwildschutz (คลิกที่ชื่อเพื่อดูรีวิวความอร่อยได้)

ZumWildschutz

ZumWildschutz

อิ่มแล้วก็เดินเล่น ซื้อของกันนิดหน่อย ขนมในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ราคาก็ไม่แพงเลย เลยซื้อมาเป็นเสบียงติดรถ  ได้มีด swiss จากที่นี่ด้วย  ราคาถูกที่สุดละตั้งแต่ดู ๆ มา  เป็นอีกเมืองที่น่ารัก น่ามาเยือน ฟิลชวนให้มีบ้านพักตากอากาศสักหลัง 555

หลังจากนั้นออกเดินทางต่อไปยังเป้าหมายหลัก(จริงๆ)ของโปรแกรมในวันนี้ เมือง mittenwald

mittenwald

สิ่งแรกที่ทุกคนในทีมพูดมาถึงเมืองนี้ “น่ารักมาก” แล้วก็เดิน น่ารักมากกันไปตลอดทาง 55555  น้องชายพี่เอ๋ถึงกับเอ่ยปากว่าชอบเมืองนี้มาก  บอกถูกใจโปรแกรมนี้ (คือคุณเค้าไม่ได้มาร่วมทำแผนเที่ยวด้วย เค้าก็จะมาแบบงง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปไหนบ้าง 5555) เป็นเมืองที่เดินโผล่ไปซอกไหน ซอยไหนก็ต้องอุทานน่ารัก  มั่นใจว่าวันนั้นน่ารักกันเป็นร้อยอ่ะ

mittenwald

mittenwald

mittenwald

สัญลักษณ์ของเมืองนี้คือไวโอลิน เพราะมีร้านทำไวโอลินอยู่ร้านนึง ไม่ใช่ละ ที่นี่มีต้นไม้ที่แกะสลักเป็นรูปไวโอลินอยู่ ซึ่งเราเดินหาอยู่นานแต่ก็หาไม่เจอ จนสุดท้ายต้องเดินเข้าไปถามจากร้านขายของที่ระลึก โดยเอารูปให้เค้าดูว่า ไอ้ไวโอลินนี่อยู่ตรงไหน จนในที่สุดก็ได้เจอจนได้ ใครมาต้องเดินมาหาให้เจอนะ ไม่งั้นถือว่ายังมาไม่ถึง

mittenwald

หลังจากคิดว่าน่าจะเดินได้ทั่วเมืองแล้ว (คิดเอาเองนะ 555) ก็ออกเดินทางกันต่อ  ตอนนี้เราจะข้ามไปยังประเทศออสเตรียกันแล้ว จริง ๆ ตรง plansee ก็ถือว่าอยู่ในออสเตรีย แล้วแต่แค่เฉียด ๆ เข้าไป แล้วกลับมาเยอรมันต่อ ต้องบอกว่าลุ้นกันมาก ระทึกมาก ว่าจุดข้ามแดนจะเป็นยังไง  นั่งมอง google map ในมือกันตลอดเวลาตอนใกล้ ๆ จุดผ่านแดน นับถอยหลังกันอย่างพร้อมเพรียง สุดท้ายมีแค่ป้ายปัก 2 อัน นี่คิดว่าคงจะมีด่านตรวจ มี จนท อะไรงี้  ปรากฏไม่มีอะไรเลย  เหมือนแค่วิ่งข้ามจากเขตธนบุรีไปเขตคลองสาน  แล้วมีป้ายบอกว่าเป็นท้องที่ของ สน อะไรแค่นั้น  … ไม่รู้จะคิดอะไรกันไปใหญ่โต 555

ข้ามเข้าประเทศออสเตรียมาได้  เมืองแรกที่เราตั้งใจมาเยือนคือ Innsbruck  แต่ก่อนเข้าเมือง เราแอบแวะไปเช็คอินที่พักกันก่อน  เนื่องจากที่พักในเมืองค่อนข้างแพง  พี่เอ๋ไปจองที่พักแบบอพาร์ทเมนท์ไว้ที่รอบนอกเมือง  เอ่อ จริง ๆ  ดูแผนที่เหอะ  ไม่รู้จะเรียกแค่รอบนอกเมืองได้มั้ย 5555

Schusterhof

ต้องบอกว่าที่พักเราอยู่บนเขาอีกลูกที่อยู่อีกฟากนึงของเมือง  ขับรถขึ้นเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อถนนเส้นที่วิ่งเต็มไปด้วยรถ  แต่แอบแปลกใจเมื่อวิ่งขึ้นไปด้านบนเขา แอบคิดว่าน่าจะมีแต่ป่า ๆ ต้นไม้ บ้านคนกระจายกันแบบห่าง ๆ  ที่ไหนได้ เป็นชุมชนใหญ่ที่นึงเลย  ที่พักของเราก็อยู่กลางๆชุมชนนั้นเลยล่ะ  “Schusterhof”

Schusterhof

นาทีแรกที่เห็นตัวบ้านยังไม่เท่าไหร่ แต่พอจอดรถแล้วเดินทะลุไปด้านหลังบ้านนี่ถึงกับกรี๊ดดดด โดดดึ๋ง ๆ เป็นมาริโอ้  เพราะวิวหลังบ้านมันช่างสวยงาม มีความใกล้ชิดธรรมชาติอะไรขนาดนี้  ทีมเรายกให้ที่นี่เป็นที่พักที่วิวสวยที่สุดในทริปเลย คลิกที่นี่เพื่อดูรีวิวแบบเต็มอิ่ม

Schusterhof

หลังจากเช็คอินแล้ว เราก็วนรถกลับลงไปที่เมือง innsbruck เดินเล่นและหาอะไรกินสำหรับมื้อเย็นกันไปเลย  innsbruck

ตอนแรกที่หาข้อมูลที่เที่ยวมา ไม่ได้คิดว่าเมืองนี้จะสวยหรือน่ารักอะไรมากนัก แต่พอมาเห็นด้วยตาจริงๆ  คุณคะ  นี่คือเมืองที่เป็นเมือง (งงมั้ย 555) ที่มีความน่ารักและสวยงามไปพร้อมๆกัน  แต่ขณะเดียวกันก็มีความวุ่นวายให้สมกับความเป็นเมืองด้วยเหมือนกัน

เมื่อด่านแรกที่เราขับเข้าเมือง คือความจอแจของการจราจร ที่ทั้งรถยนต์และรถรางวิ่งรวมกันไปมั่วๆบนถนนในเมือง  จังหวะแรกที่เห็นรถราง และเห็นรถยนต์วิ่งคร่อมรางตาม ๆ รถรางกันไป มันชวนหวั่นใจเล็ก ๆ

แต่ขณะเดียวกันก็ดูเป็นเมืองที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ทั้งกำแพงเทือกเขาแอลป์ที่ดูสร้างความเข้มแข็ง แม่น้ำ ลำธาร ไหลเรื้อยให้ความฉ่ำชื้นและเย็นสบาย

Innsbruck 

ตึกรามสไตล์ยุโรปแต่แต่งแต้มด้วยสีหวานพาสเทล ก็ช่วยให้เมืองมีความน่ารักน่าหยิกขึ้นมาอีกนิด

Innsbruck

Innsbruck

Innsbruck

จุดเด่นอีกที่ของเมืองนี้คือ “หลังคาทอง – golden roof” ที่จักรพรรดิ Maximilian ทรงสร้างด้วยแผ่นทองคำ เพื่อให้ในการทอดพระเนตรการแสดงในเทศกาลต่าง ๆ  แต่ในยุคนี้ที่เราเดินมาเห็นปุ๊บ ถึงกับอุทาน “อิหยังวะ!”  คือสามัญชนอย่างเราคงเข้าไม่ถึงความงามของกษัตริย์ในยุคนั้น  หรือเป็นเพราะมันยังหลงเหลือให้เห็นในยุคนี้ เมื่อมันมาอยู่รวมกับตึกรามสีพาสเทลแล้วมันก็เลย อิหยังวะ!  5555

อ้อ ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ  แต่ทีมเราไม่ได้เข้าไป เพราะไม่เก็ตกับหลังคาอันนี้ 555

golden roof

golden roof

เดินเล่นกันสักพัก จนได้เวลาอาหารเย็น  เราก็เลือกฝากท้องกับร้านในเมืองเลยนี่แหละ  กับร้าน GoetheStube ร้านหรูหรามีประวัติการเยี่ยมเยียนของแขกคนสำคัญระดับโลกมากมาย มีจากราชวงศ์ของบ้านเราด้วยนะคะ

GoetheStube

GoetheStube

กินเสร็จก็ได้เวลากลับที่พักไปนอนเอาแรงกันต่อได้  แอบกระซิบนิดนึงว่านอกจากค่าที่พักในเมืองจะราคาไม่น่าคบแล้ว  ค่าที่จอดรถก็เช่นกัน  เดินเล่น ดินเน่อร์กันเพลินกลับมาเจอค่าที่จอดไปน้ำตารินเลย T T

ปิดท้ายด้วยรูปยามค่ำคืนกันบ้าง  สวยงามโรแมนติกไปอีกแบบเนอะ ว่ามั้ย

innsbruck

 

 

 

About LookPla

เป็นผู้หญิงไซส์ฮอบบิท ที่มีอาชีพเป็นช่างแต่งหน้า รักการอ่าน กับการท่องเที่ยว ที่สำคัญคือการกิน แถมตอนนี้เสพติดโยคะฟลายเข้าด้วยสิ

Check Also

Puskin Restaurant ร้านอาหารย่านเมืองเก่าในกรุงปราก

Puskin Restaurant ร้านอาหารย่านเมืองเก่าในกรุงปราก ท่ามกลางร้านอาหารที่มากมายหลากหลาย เราเลือกร้านนี้เพราะใกล้ที่พัก แต่อาหารก็ใช้ได้ คุ้มราคาอยู่นะ