ขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ตอนที่ 2 Nauschawanstein ต้นแบบปราสาทดิสนีย์

ขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ตอนที่ 2 Nauschawanstein ต้นแบบปราสาทดิสนีย์

กลับมาสู่ตอนที่ 2 และเป็นวันที่ 2 ของทริปเราค่ะ  วันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นของทริปแบบจริงจังจริง ๆ ละ  วันแรกไม่นับ เพราะวิญญาณยังไม่เข้าร่างดี 5555  เช้านี้เราตื่นมาด้วยความฉดใฉ อาการเมาแฮ้งค์เครื่องอึน ๆ ของทุกคนหายเกลี้ยง พร้อมออกเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ โดยเฉพาะการขับและนั่งรถพวงมาลัยซ้ายครั้งแรกในชีวิต!  ออกเดินทางกันค่ะ  จุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือ ปราสาท Neuschwanstein และ เมือง Fussen ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้ด้วย

ก่อนอื่นเลยเรากลับไปที่สถานี Central station เพื่อไปรับรถที่เราจองไว้กันค่ะ  เช้าแบบนี้เดินออกกำลังกายกันค่ะ อากาศดีเดินได้ชิลล์ ๆ

อย่างที่บอกล่ะค่ะว่าตรงสถานีนี้ของกินเพียบ มื้อเช้าเราก็เลยซื้ออะไรกินเบาๆกันแถวนี้นี่แหละ

สำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถขับ จะไปเมือง fussen กับปราสาท Neuschwanstein ก็สามารถขึ้นรถไฟตรงนี้ได้เลย

ที่รับรถอยู่ชั้นบนของสถานีค่ะ  เป็นออฟฟิศใหญ่ รวมหลายค่ายรถเช่าไว้ที่เดียวกันเลย สะดวกมาก

เราเลือกเช่าของ Europcar ค่ะ  จัดการเอกสารเช่ารถอะไรกันตรงนี้เลย

แต่อีตอนจะรับรถนี่สิ วุ่นวายนิดหน่อย  เพราะที่รับรถดันอยู่ตึกอื่น ต้องเดินออกจากสถานีไปอีก งงมาก ไม่มีใครพาไปด้วยนะ ต้องหาทางไปเอง จนท ตรงนี้เค้าก็แค่อธิบายว่าไปตรงไหนเฉย ๆ

เดินมาแบบงง ๆ มาเรื่อย ๆ จนเจอ เห็นตอนแรกอึ้งๆกันนิดหน่อย  รถทุกค่ายจะจอดอยู่ตึกนี้หมดเลย  ก็เหมือนเดิม ส่งหัวหน้าทีมเข้าไปจัดการ ได้กุญแจรถมาก็งง ๆ ต่ออีก  เพราะจำได้ว่าตอนจองรถเนี่ย จอง Volk มา เพราะเท่าที่เคยอ่านรีวิว เค้าว่าเบนซ์จะเข้าประเทศเช็คไม่ได้ เข้าได้แต่ Volk แต่ไหงกุญแจเป็นเบนซ์หว่า  พี่เอ๋ต้องกลับไปคุยกับเค้าใหม่ จนท เค้าก็ทำหน้างง ๆ ใส่เราแล้วบอกว่าทำไมจะเข้าไม่ได้ เอาอันนั้นไปแหละ ไรประมาณนี้  ก็เดินออกมายืนถกกันอยู่พักนึงเลย แต่เค้าว่าได้ก็คงได้อ่ะมั้ง 55555

นี่คือหน้าตาพาหนะที่จะพาเราไปท่องดินแดนแสนหวานน้ำตาลไหม้ในความฝันของพวกเราค่ะ เบนซ์ 5 ประตู  เป็นบุญตูดของพวกเรามากค่ะ 5555  ภายในกว้างขวางนั่งสบาย วิ่งนิ่มราบเรียบไม่ทำให้ไตสะดุ้ง เหยียบทำความเร็วตามสไตล์คนขับประเทศเค้ารถก็ยังนิ่งเหมือนลอยอยู่มากกว่า

รถเหมือนจะใหม่อยู่นะ วิ่งไปแค่ 1900 โล

แต่ ๆ ๆ ๆ รถแบบนี้ใส่กระเป๋าใบใหญ่ได้แค่ 3 ใบเท่านั้น  ขณะที่พวกเรามากัน 4 คน  ซึ่งเรื่องนี้เรารู้ตั้งแต่ตอนจองรถล่วงหน้าแล้ว ปลากับพี่เอ๋เลยตัดสินใจไปหาซื้อกระเป๋าเป้แบ็คแพ็คมาทดแทนใบนึง  เวลาเดินทางก็เอากระเป๋าใบนี้มาไว้ที่เบาะหลังค่ะ ตรงกลางระหว่างคนนั่ง เท่านี้ก็เรียบร้อย ที่นั่งยังเหลือ ๆ สบาย ๆ เลยด้วย

รับรถเสร็จก็มุ่งหน้าออกเที่ยวกันได้ค่าาาาา ระทึกกันมากค่าาา ครั้งแรกของพี่เอ๋ที่ขับรถพวงมาลัยซ้ายเลยยย

ระหว่างทางขับรถก็ดูถนนหนทางอะไรไปเรื่อย ๆ เราเลือกวิ่งถนนสาย 17 หรือที่เค้าเรียกกันว่า Romantic Road เพราะวิวข้างทางสวยงามโรแมนติกสุด ๆ

หลังจากออกนอกเมืองมาสักพัก ปลาก็มองวิวไปเพลิน ๆ แล้วก็เห็นอะไรลิบ ๆ เป็นเส้น ๆ ขาว ๆ พยายามเพ่งมองสักพัก ว้ายยยยย กรี๊ดดดดด ภูเขาหิมะค่าาาาาาาาา  ทอดตัวยาวเป็นเหมือนกำแพงเลยยย สวยมากกกก ตอนนี้รู้สึกได้ว่าตัวเองอยู่ยุโรปแล้ว 5555

เป็นเส้นถนนที่สวยงามชวนตะลึงจริง ๆ แบบว่าบ้านไม่มีหิมะให้ดูอ่ะค่าาา เลยตื่นเต้นกันมากเลยยย 555

ใกล้ถึงจุดหมายหลักคือปราสาท Neuschwanstein แล้ว  

แต่ก่อนถึงปราสาทเราเจอโบสถ์ St. Coloman ก่อน  เป็นโบสถ์ที่ถ่ายดี ๆ จะได้ 2 ปราสาทเป็นฉากหลังแบบนี้

แปะแผนที่โบสถ์ st.coloman ให้ดูเผื่อใครอยากแวะแบบเราบ้าง

หลังจากถ่ายรูปพอเป็นพิธีเสร็จก็มุ่งหน้าไปปราสาท Neuschwanstein กันต่อ  จากโบสถ์ไม่ไกลเลย สูดหายใจเข้ายังไม่ทันออกก็ถึงแล้ว ที่จอดรถอยู่ด้านในสุดใกล้กับทะเลสาบ Alpsee ค่าที่จอดรถ 6 ยูโร

จอดรถเสร็จสิ่งแรกเลยที่แก๊งค์เราทำคือ กินค่ะ 5555 ไม่รู้หิวมาจากไหน แต่หิวอ่ะ  ตรงนี้ร้านอาหารเยอะมากค่ะ มีตั้งแต่ร้านเบอร์เกอร์ ฮอทดอกธรรมดา ไปจนถึง restaurant สวย ๆ  ราคาก็อาจจะสูงกว่าปกตินิดนึง อาจจะเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้แพงเว่อร์อะไร  แล้วผู้คนตรงนี้ก็ล้นหลามมาก ประหนึ่งที่ในเมืองร้าง ๆ เค้ามาอยู่ตรงนี้กันหมด 5555

เราแวะกินไส้กรอก ฮอทดอกกันง่าย ๆ ค่ะ  เพราะเดี๋ยวต้องไปรับตั๋วเพื่อเข้าชมปราสาทกันต่อ

เป็นร้านแบบยืนกินที่โต๊ะแบบนี้นะจ๊ะ  กินนานไม่ได้ค่ะ ต้องรีบไป เพราะยืนนานจะเมื่อย รุ่นนี้แล้ว ต้องเซฟแรงไว้เดินเที่ยวค่ะ 5555

เราสั่งมากิน 2 อย่าง  ชิม ๆ ดูก่อน  อันแรกเป็นฮอทดอก 4.5 ยูโร  รสชาติธรรมดาค่ะ

ส่วนนี่เป็นไส้กรอก เสิร์ฟพร้อมเคร้าท์ (หรือกะหล่ำดอง) 4.5 ยูโรเท่ากัน  อันนี้อร่อยอ่ะ  ไส้กรอกดีกว่าฮอทดอกอันบนเยอะเลย กินคู่กะเคร้าท์นี่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะยิ่งอร่อย  แถมช่วยตัดเลี่ยนได้ด้วย  อร่อยจนต้องไปสั่งมาเพิ่ม 5555

อิ่มแล้วก็รับตั๋วเข้าชมปราสาทกันค่ะ  เห็นแถวแล้วแทบถอดใจ

แต่โชคดีมากที่พี่เอ๋จองตั๋วมาก่อนล่วงหน้า  เลนฝั่งจองออนไลน์มาไม่มีคิวเลย สบายไป  ใครที่มีแพลนจะมาแล้วอยากเข้าชมภายในปราสาท  ถ้ากำหนดวันได้แบบชัวร์ ๆ แล้ว แนะนำให้จองออนไลน์มาก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวนานแต่ต้องเสียค่าจองเพิ่มนิดหน่อย (คลิกที่นี่เพื่อเข้าเว็บจองตั๋วล่วงหน้า)

อ่ะ ให้ดูราคาค่าเข้า อันนี้เป็นราคาแบบ Package ถ้าเข้าที่เดียว 13 ยูโร

การเข้าเยี่ยมชมเค้าจะแบ่งเป็นรอบๆ เวลานะคะ  แต่ละรอบก็จะมีแจ้งว่าเป็นภาษาอะไร

ส่วนของปลาจองรอบบ่าย2 มาค่ะ

ระหว่างรอเวลา เราไปถ่ายรูปทะเลสาบด้านในเล่นกันก่อน  ทะเลสาบนี้ชื่อว่า Alpsee  สวยใช่มั้ยล่าาาาา  น้ำใสไหลเย็นเห็นหินชัดมาก แถมมียอดเขาสีขาวที่ปกคลุมหิมะประหนึ่งยอดไอศครีมที่โรยด้วยไอซ์ซิ่งแซมขึ้นมาอีก  จับใจนัก

ป้ากะลุงอาจจะดูตัวกลมๆไปนิด เพราะเรายัดมือถือและพาวเวอร์แบงค์ไว้ที่เสื้อชั้นใน 5555

ส่วนนี่คือปราสาท Hohenschwangau อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันนี่แหละ เป็นปราสาทของพระเจ้าแม็กซิมิลเลียน ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของปราสาท Neuschwanstein  และสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ยังทรงพระเยาว์ก็เคยประทับอยู่ที่ปราสาทนี้เช่นกัน ก่อนที่จะแยกองค์ไปสร้างปราสาท Neuschwanstein เมื่อโตขึ้น

ตอนซื้อตั๋วจะมีค่าเข้าชมปราสาทหลังนี้ด้วย แต่แก๊งค์เราเลือกเข้าแต่ปราสาท Neuschwanstein หลังเดียว  เพราะดูจากเวลาแล้วคิดว่าจะไม่พอ

วิธีการขึ้นไปยังปราสาท Neuschwanstein มีกันอยู่ 3 วิธีค่ะ  วิธีแรกเลยคือ เดิน ซึ่งเราว่าเสียเวลาไป  วิธีคลาสสิคหน่อยก็นั่งรถม้า แพงแต่ไปส่งที่หน้าปราสาทเลย

ม้าตัวใหญ่มากกกกก น้องล่ำมาก ถ้าเป็นคนก็แนวเข้ายิมยกเวทจนหุ่นเป็นก้ามปู  ไม่ขี้เกียจในวัน leg day เพราะขานั้นกำยำล่ำสันน่าเกรงขาม เหมาะแก่การเดินลากรถขึ้นเขาอย่างที่สุด

อีกวิธีคือการขึ้นรถ  ซึ่งเราเลือกวิธีนี้ เพราะประหยัดเวลาที่สุด

ค่าใช้จ่ายในการขึ้นชม ไม่ว่าจะโดยรถบัสหรือรถม้าไม่รวมอยู่ในแพคเกจเข้าชมปราสาทนะจ๊ะ   ถ้าใครแค่อยากขึ้นไปถ่ายรูปปราสาทด้านนอกก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้าชมเด้อ  ก็เสียแต่ค่าพาหนะขึ้นอย่างเดียว แต่ถ้าใครอยากประหยัดและอยากแข็งแรงก็เดินโลดค่ะ  ค่าขึ้นรถบัสคนละ 3  ยูโร  (เป็นราคา ไป-กลับ)

ข้อเสียของรถบัสคือ มันจะมึน ๆ ตอนขึ้นหน่อย เพราะวนขึ้นเขา และ ไม่ส่งที่หน้าปราสาท ต้องเดินต่อไปอีกสัก 20 – 25 นาที ขึ้นรถบัสไปไม่นานก็ถึงค่ะ จุดที่รถมาส่งคือสะพานแมรี่  ซึ่งเป็นสะพานที่เป็นจุดถ่ายรูปปราสาทนอยฯ ที่สวยจุดนึงเลย  ผู้คนล้นหลามแน่นสะพานมาก ดีนะที่สะพานเค้าเป็นเหล็ก ถ้าเป็นเชือกนี่คงหวั่นใจพอควร 555

หลังจากอดทนรออย่างใจเย็นให้ฝูงชนค่อย ๆ ขยับ สุดท้ายเราก็ได้ภาพนี้มา

ทำไมรู้สึกเหมือนฝันเลย ประหนึ่งเจ้าหญิงดิสนีย์กลับมาเยี่ยมบ้าน 555

ถ่ายรูปจนพอใจก็ได้เวลามูฟกันไปที่ปราสาทค่ะ เพราะได้เวลารอบเข้าชมของพวกเราแล้ว  คนไทยที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เยอรมันไม่ได้ สบายใจได้นะคะ  เค้ามีเครื่องออดิโอไกด์บรรยายภาษาไทยให้ด้วย  บ่งบอกว่าคนไทยไปเยอะมากจี ๆ แต่น่าเสียดายมากที่ข้างในเค้าห้ามถ่ายรูปค่ะ  ใครอยากเห็นขอเชิญไปทัศนาด้วยสายตาตัวเอง ในความครีเอทขั้นสุดของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 เจ้าของปราสาท

เอาเป็นว่าชื่นชมกับบรรยากาศและทัศนียภาพภายนอกเท่าที่ถ่ายกันมาได้ไปก่อนละกันนะคะ

โมเดลโดยรวมของตัวปราสาท

แผนผังภายใน

มองจากระเบียงร้านอาหารในปราสาท เห็นทะเลสาบ Alpsee  และปราสาท Hohenschwangau ด้วย

จากฝั่งปราสาทมองย้อนกลับไปทางสะพานแมรี่ดูบ้าง ก็สวยงามไม่แพ้กัน

ทัวร์ปราสาทจบลงพวกเราก็เคลื่อนพลกันต่อค่ะ  ไปยังเมือง Fussen ที่พักของเราในคืนนี้  แต่ก่อนเข้าที่พัก พี่เอ๋บอกขอแวะทะเลสาบที่นึงก่อน  เลยตัวเมือง Fussen ไปนิดสนึง  พี่เอ๋เค้าว่าไปเจอรูปใน Google มาด้วยความบังเอิญ ตอน Search หาเมือง Fussen ทะเลสาบ Hopfensee

พอขับมาถึง พวกเราถึงกับตกตะลึง ทะเลสาบนิ่งสงบสะท้อนภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะที่อยู่ฉากหลัง ดูสงบแต่ไม่สงัด เมื่อเบี่ยงมองไปด้านข้างมีบ้านเรือนสไตล์ยุโรปมาเพิ่มความอบอุ่นให้บรรยากาศ  ดูใกล้ชิดธรรมชาติขนาดนี้ แต่ก็ไม่แร้งหรือกันดาร เพราะอีกฝั่งของถนนที่เรายืนอยู่ กลับเป็นตึกรามร้านอาหาร ที่พักตลอดแนว ผู้คนพลุกพล่านแต่ไม่อึกทึกจนทำลายความเงียบสงบงดงามของบรรยากาศ จนพวกเราแอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พักตรงนี้เลย

ถ่ายรูปกันจนพอใจก็ได้เวลาเข้าที่พักจริงๆของพวกเราซะที  ขับย้อนกลับไปทางเดิมไม่ไกลค่ะ

เราพักกันที่นี่ในคืนนี้ Hotel fantasia (กดที่ชื่อได้เลยถ้าอยากดูรีวิวห้องพักด้านใน)

เช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาอะไรใส่ท้องสำหรับมื้อเย็นกันค่ะ  เดินชมเมืองย้อนกลับเข้าไปใจกลางแถว ๆ จตุรัสเมืองกัน  เมืองเค้าน่ารักจังเลย

มื้อนี้เรามีร้านเด็ดที่ต้องไปลอง เป็นร้านที่คะแนนรีวิวดีเหลือเกิน ไม่ควรพลาดจริง ๆ  Gasthof Krone  (คลิกที่ชื่อดูรีวิวฉบับเต็มได้ค่ะ)

Gasthof Krone

อิ่มหนำสำราญเสร็จออกมาฟ้าก็เข้า blue hour พอดี  ในเมืองก็เริ่มเปิดไฟสวยงาม

เดินเรื่อยๆ กลับเข้าที่พักนอนเอาแรงเพื่อออกเที่ยวในวันต่อไป  รอติดตามกันต่อได้ว่าเราจะไปไหนกันอีก รับรองได้ว่าสวยไม่แพ้วันที่ 2 แน่นอน

About LookPla

เป็นผู้หญิงไซส์ฮอบบิท ที่มีอาชีพเป็นช่างแต่งหน้า รักการอ่าน กับการท่องเที่ยว ที่สำคัญคือการกิน แถมตอนนี้เสพติดโยคะฟลายเข้าด้วยสิ

Check Also

Peking ร้านอาหารจีนในเมือง Karlovy vary อร่อยแบบไม่ควรพลาด

Peking ร้านอาหารจีนในเมือง Karlovy vary เมืองที่ขึ้นชื่อน้ำแร่ในประเทศเช็ค อาหารจานโตที่อร่อยในทุกจาน แถมราคายังไม่แพง ไม่ผิดหวังจริงๆ สำหรับร้านนี้