ฮัลโหล้ ทู้กกกกคน ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนเรื่อง 10 ขั้นตอนวางแผน ขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ไว้แล้ว ถึงแม้จะเขียนจบมาเป็นปี แต่ blog เที่ยวจริง ๆ ยังไม่ได้เขียนเล่าให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลย ตอนนี้เราสำนึกผิดแล้วว่าเราควรจัดการให้เสร็จสิ้นกระบวนความซะที เพราะช่วงนี้มีคนมาถามเรื่องทริปยุโรปกันเยอะเชียว ว่าแล้วก็มาเริ่มต้นรำลึกความหลังเดินทางไปพร้อมๆกัน ทริปของเราเกิดขึ้นเมื่อปี 2018 ในวันที่ 31 มี.ค.-15 เม.ย. … รู้น่าาาา ว่านานแล้ว อภัยให้เค้าเถอะน้าาาาาา
ขอเกริ่นนิดนึงก่อนว่า ในหัวเรามองภาพยุโรปนี่ไกลเกินเอื้อมมาก รู้สึกว่ากว่าจะได้ไปเหยียบคงอีกชาติกว่า ภาพ Hallstatt หมู่บ้านริมทะเลสาบคือ 1 ใน dream list ที่คิดว่าคงได้อยู่ใน list ไปอีกยาว ๆ 555 แต่วันนึงปลาได้เห็นกระทู้จากพันทิปกระทู้นึง (ขออภัยตอนนี้หากระทู้นั้นไม่เจอแหล่ว) ที่ จขกท เช่ารถขับท่องยุโรปกัน 2 คน โดยที่งบไม่ได้ต่างจากเวลาที่คู่เราไปเที่ยวญี่ปุ่น หูตาเป็นประกายเจิดจรัสดาวประดับฟ้าขึ้นมาทันที ปลาเอากระทู้นี้ไปนำเหนอให้พี่เอ๋ดู แล้วพี่เอ๋ก็เห็นดีเห็นงามตามใจเมีย ตอนแรกก็คิดว่าเราคงไปกันแค่ 2 คน ลุงป้าเหมือนทุกทีนั่นแหละ เพราะลองไปเกริ่น ๆ ชวนเพื่อนฝูงแล้วไม่มีใครยอมทิ้งงานทิ้งการไปแบบเรา 5555 แต่เมื่อปลาหลุดปากไปเล่าให้คู่สะใภ้ฟัง (นางเป็นภรรยาของน้องชายพี่เอ๋ฮ่ะ) แล้วก็ส่งกระทู้พันทิบที่ว่าให้นางดู แล้วก็เอ่ยปากชวนขำ ๆ แต่ ๆๆๆๆ นางอยากไปด้วยจริงว่ะ 5555 แล้วนางก็ไปบีบคอหรือเห่กล่อมสาอีท่าไหนไม่รู้ สุดท้ายทริปนี้เราเลยมีคนมาช่วยหาร 5555 (ตกลงทุกอย่างเสร็จ สาของนางยังงงว่าเมียตัวกะเมียพี่ไปคุยกันตอนไหน 5555)
และอันเนื่องจากทริปนี้ไปไกลถึงยุโรป จะให้ไป 6 วัน 5 คืน เหมือนไปญี่ปุ่นไรงี้ไม่ได้! เพราะแค่เดินทางก็หมดไปแล้วขาละวัน เสียดายตังค์ค่าตั๋วเครื่องบินกะค่าวีซ่า! แถมรูทที่เราวางแผนไว้เป็นการขับรถเที่ยวควบ 3 ประเทศ ยังไงก็คงเป็นสิบวันแน่ ๆ แหละ เพราะฉะนั้นต้องลาช่วงมีวันหยุดเยอะ ๆ จะได้ลากันน้อยๆ สำหรับคนทำงานประจำ นั่นก็คือช่วงสงกรานต์บ้านเรา จากเดิมวางไว้ 5 – 15 เม.ย. แต่ราคานี่หฤโหดมาก นั่งรอตั๋วโปรฯกันจนเกือบจะถอดใจพับแผน แล้วจู่ ๆ ก็มีตั๋วโปรฯของเอมิเรตส์มา เพียงแต่…ต้องขยับวันเดินทางออกให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ตอนแรกก็คิด 1 – 2 วันไรงี้ (ไม่ใช่ไร กลัวตังค์ไม่พอ 5555) แต่คนจองดันขยับไปถึงวันที่ 31 มี.ค. ขุ่นพระ! นี่มือทาบอก ทำงานอยู่ตอนทีมจองตั๋วเค้ากดจอง มือไม้สั่น กลับบ้านเกือบไม่ถูก ในใจนึกจะหาเงินจากไหนมาให้พอเที่ยวนานขนาดนั้นวะ ฮืออออ … ดีนะ จองตั๋วได้ตั้งแต่ กย. 17 เลยค่อยพอมีเวลาไปเมคมันนี่หน่อย
และนี่ครือออ…โฉมหน้าสมาชิกในทริปนี้ของเรา ใช่ค่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ 2 คนนั้นเค้าเป็นพี่น้องกันใช่มั้ยคะ
มาดูเรื่องไฟลท์บินกันบ้าง ต้องปรบมือให้คนจอง เพราะเลือกเวลาใช้ได้เลยทีเดียว (อ้อ ลืมบอกราคา Emirates ไป-กลับ 25,xxx บาท)
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ก็ได้เวลามื้อเย็น เราเลยมุ่งหน้าไป King power lounge ไปขอฝากท้องมื้อเย็นหน่อย
ไปค่ะ ไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ ขึ้นเครื่องกันเลยค่ะ ที่นั่งบนเครื่องกว้างขวางนั่งสบายมากค่ะ พี่เอ๋สูง 173 นั่งแล้วเข่ายังไม่ถึงเบาะหน้าค่ะ ความกว้างของเบาะก็เหลือ ๆ อยู่ค่ะ ไซส์ฮอบบิทแบบปลานี่นั่งขัดสมาธิแบบสบาย ๆ เข่าไม่เกยที่วางแขนเลย ดีงามพระราม 3 มากค่ะ
สิ่งเอนเตอร์เทนบนเครื่องก็ใช้ได้เลย เยอะมาก หนังมีทั้งใหม่ เก่า คละๆกันไป จอใหญ่ดูสบาย
ที่ถูกใจพี่เอ๋มากคือ มีถ่ายทอดสดบอลด้วยว่ะค่ะ ย้ำว่าสด อ่อๆ อาจจะดีเลย์จากภาคพื้นดินนิดๆ แต่ก็นับว่าสดล่ะ คอบอลถูกใจกันน่าดู
นั่งดูนู่นนี่นั่นสักพัก อาหารก็มาเสิร์ฟค่ะ ใช่ค่ะ เสิร์ฟมันกลางดึกนี่ล่ะค่ะ ประมาณว่าทางดูไบคงจิเป็นมื้อเย็น สิ่งหนึ่งที่เราแอบกังวลใจนิด ๆ คือจะกินอาหารบนเครื่องได้มั้ยฟะ หลอนใจกับอาหารบนเครื่องบินมาก (ส่วนตัวแอบชอบอาหารบนเครื่องของแอร์เอเชียที่สุด ใช้คำว่าอร่อยได้เลย) แต่เป็นเซอร์ไพรส์มาก เมื่อเราพบว่าอาหารที่เสิร์ฟมา อร่อยเลยยยย ขอให้ตัดข้ามหน้าตาไปซะ เพราะตอนเปิดมานี่ก็ท่องนะโมไปหลายจบ แต่คิดว่ากินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ ก็ไปตุนจาก King power เล้าจ์ มาแล้ว แต่ไม่อยากบอกเลยว่ากินหมดเกลี้ยง ประหนึ่งไม่ได้ไปกินก่อนขึ้นเครื่องมา 5555
กินเสร็จก็คิดว่าได้เวลานอนค่ะ ถึงแม้จะนอนไม่ค่อยหลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดจนเกือบถึงดูไบ ไม่เหมือนคู่สะใภ้ปลาค่ะ นี่ก็หลับเหมือนโดนชักปลั๊กมาก ขึ้นเครื่องมาแอร์ยังไม่เริ่มสาธิตอุปกรณ์เลย นางหลับไปเรียบร้อยจ้า แต่ปลุกตอนอาหารมาเสิร์ฟนางก็กินไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเลย แถมกินเสร็จหลับต่อหน้าตาเฉยอีก อิจฉาจริง ๆ
ตอนไปถึงดูไบ ถึงแม้จะเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งของที่นู่น แต่ผู้คนก็ล้นหลามและขวักไขว่เหมือนปลาสวายที่วัดบางพระมาก ต้องผ่าน ตม เค้า 1 ที อย่าถามนะว่าเดินไปทางไหน คือจำไม่ได้ล่ะ เดินตาม ๆ กันไปหมดทั้งลำ แล้วก็ดูป้ายเอาว่าเครื่องจะไปมิวนิคต้องไปขึ้นที่ gate ไหน จังหวะนี้ใครจะไปเมืองไหนก็แยกกันตรงนี้ล่ะ เพราะฉะนั้นดูป้ายค่ะ ดูป้าย อย่าเพ้อเมาขี้ตาเดินตามไปแบบไม่ดูอะไรล่ะ อย่างรอบที่เราไป gate ที่ต้องไป คือไกลมากกกก เดินๆ ไปขึ้นลิฟท์ ต่อรถไฟไปอีกเทอร์มินอลนึง ใครง่วง ๆ อยู่ได้ตื่นก็ตอนนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นใครจองตั๋วทรานสิทไว้ ขอแนะนำว่าควรมีเวลาต่อเครื่อง 2 ชั่วโมงขึ้นไปนะคะ ไม่งั้นวิ่งกันหูตลบกลับหลังยังไม่ทันเลยค่ะ
หลังจากขึ้นเครื่องกันอีกรอบ เราก็นอนต่อกันอีกแว่บนึง แต่พอใกล้ ๆ ถึงก็ต้องกระตุ้นตัวเองให้ตื่น เพราะต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเวลาทางฝั่งยุโรป ซึ่งตอนเราไปถึงจะเป็นเวลา 8 โมงเช้า ตรงกับบ้านเราประมาณ ตี 2 เวลากำลังหลับสบายยย สำหรับคนอื่นค่อนข้างลำบากกันหน่อย เพราะมาเป็นวันแรก ส่วนปลาสบายยยยยย ด้วยอาชีพช่างแต่งหน้า อดหลับอดนอน นอนไม่เป็นเวล่ำเวลาเนี่ยเลยสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าคนอื่นเค้า
ก่อนเครื่องลงสักชั่วโมงเริ่มมีเสิร์ฟมื้อเช้ากัน แล้วด้วยความเบลอของพี่เอ๋เลยลืมถ่ายรูปมา แต่ก็สั่งอาหารอเมริกันเบรคฟาสต์ธรรมดานี่ล่ะ และแอบเซอร์ไพรส์นิดนึง ตรงถั่วกระป๋องที่เสิร์ฟมา ดันอร่อย นี่เคยนั่งดูแต่ในหนังแล้วก็งงว่ามันอร่อยตรงไหนและยังไงวะ มันดูขนลุกนิดๆ แต่พอกลั้นใจกิน อ้าวเห้ยยยย! อร่อยนี่หว่า นี่ไม่ได้คิดคนเดียว คนกินยากแบบพี่เอ๋ยังบอกอร่อยเล้ยยย
หลังจาก landing ก็เข้ากระบวนการ ตม หลายคนอาจจะกังวลตรงนี้ว่าจะยากมั้ย จะรอดหรือเปล่า ชั้นจะโดนลากเข้าห้องรมแก๊สมั้ย (อันนี้เว่อร์เอง 555) บอกเลยว่าไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเด้อ ดีหน่อยตรงที่ถ้ามาเป็นกลุ่มสามารถเดินจูงมือเข้าไปพร้อมกันทั้งแก๊งค์ได้เลย แล้วอย่าคิดว่ามีวีซ่าเชงเก้นแล้วเค้าจะปล่อยไปง่าย ๆ นะจ๊ะ เค้าซักเหมือนกัน ถ้ามาเป็นแก๊งค์แนะนำให้มีหัวหน้าทีมคอยตอบคำถามเค้า เตรียมเปิดแผนเที่ยว ใบจองโรงแรมไว้ให้เค้าดูด้วย กว่าจะผ่าน ตม นี่นานใช้ได้ ดีที่ ตม งานดี เราเลยให้อภัย ยืนมองไปเพลิน ๆ 5555
เสร็จสิ้นธุระที่สนามบินเรียบร้อยแบบไม่มีใครโดนกักตัว ก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกันค่ะ เราเลือกวิธีการนั่งรถไฟไป หาข้อมูลมาว่าเค้ามีขายตั๋วเป็นกรุ๊ปแบบ one day ด้วย เนื่องจากวันนี้เราจะเที่ยวเล่นปรับตัวกับสภาพอากาศและเวลาในมิวนิคนี่แหละ ไม่รีบร้อนไปเมืองอื่น เราเลยเลือกซื้อตั๋วแบบนี้ไปเลย ทีนี้มามีปัญหาตรงที่…ไปที่ตู้กดซื้อตั๋วแล้ว กดไม่ถูก 5555 ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าตู้กัน พยายามกดนู่นนี่นั่นอะไรก็แล้ว แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่กล้ากดเยอะ กลัวซื้อผิดอีก จังหวะนั้นต้องทีมเวิร์คมาก คนนึงเปิดดูรีวิววิธีซื้อที่ Save ไว้ อีกคนก็ทำหน้าที่กดไป อีก 2 คนต้องเฝ้าสัมภาระค่ะ หวาดเสียวได้ตั๋วแต่หันมากระเป๋าไม่อยู่แล้ว 5555 พอสำเร็จได้ตั๋วมานี่แทบจุดพลุฉลอง ก็เลยไมไ่ด้ถ่ายรูปตอนเข้ามิวนิคไว้แต่ๆๆๆๆ ทู้กกกคนไม่ต้องห่วง เราถ่ายตอนขากลับมาให้ วิธีกดซื้อเหมือนกันเด้อ ต่างกันปลายทางเท่านั้น
หน้าจอตู้ตอนแรก ให้เลือกภาษาอังกฤษ แล้วกดที่กรอบ All Offers ใหญ่ ๆ ซ้ายล่าง
หลังจากนั้นเลือก Group Tickets ค่ะ
หลังจากนั้นเราเลือก MVV all day ticket ค่ะ
กดเลือกจุดหมายปลายทางกันได้เลย (จริง ๆ เลือกอะไรก็น่าจะได้เพราะเป็น all day ticket นั่งไปไหนกี่เที่ยวก็ได้ในมิวนิค)
สรุปค่าบัตร 24.30 ยูโร สำหรับ 5 คน ใช้งานได้ถึง 6 โมงเช้าวันถัดไป ถือว่าคุ้มมากค่ะ เรามา 4 คน ก็ซื้อ ๆ อันนี้ไปแหละค่ะ คำนวณแล้วว่าถูกกว่าซื้อแยก
หน้าตาบัตร ได้มาใบเดียวแบบนี้เลย เก็บดีๆ หายล่ะงานงอกแน่ ข้อเสียอย่างนึงของบัตรนี้ก็คือ ต้องไปด้วยกันทั้งกลุ่ม
ได้บัตรแล้วก็ออกเดินทางได้ค่ะ เริ่มเบื่อสนามบินละ 5555 จุดหมายแรกของเราคือไปโรงแรมก่อนค่ะ เอากระเป๋าไปฝากแล้วออกเที่ยว โดยนั่งสาย S8 หรือ S1 ไปลงที่ Hauptbahnhof / Central station ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 41 นาที แล้วไปต่อรถสาย U1 ไปอีก 1 สถานี
ในรถสภาพดี และ ดูทันสมัย …แต่ ใครทำน้ำหกที่พื้นล่ะนั่น!
มาถึง Hauptbahnhof / Central station แล้ว เดินตามป้าย U1 ไปเลย
แต่ในส่วนของสภาพรถสาย U1 นั้น ออกไปในแนว Retro ๆ หน่อย…อ่า หรือไม่หน่อย 5555
และนี่คือโฉมหน้าที่พักในคืนแรกของเราค่ะ Arthotel ANA Diva (คลิกที่ชื่อโรงแรมเพื่อดูรีวิวฉบับเต็มได้ค่ะ)
ฝากกระเป๋าเสร็จสรรพก็ไปเดินเที่ยวพร้อมหาอะไรใส่ท้องสำหรับมื้อกลางวันกันซะหน่อย ปลายทางที่แรกของเราคือ Marienplatz โดยนั่งรถไฟสายเดิมย้อนกลับไปที่ Central Station ไปถึงสถานีคือใหญ่มากกกก สมกับเป็น Central station ของกินก็เยอะมากด้วยเช่นกัน เรียกว่ารวมทุกสิ่งอย่างไว้ สำหรับคนต้องเดินทางแต่เช้าด้วยรถไฟ ไม่ต้องกลัวอด มาหาซื้อของกินที่นี่ได้เลย
อ้อ รถที่เราเช่าไว้ก็ต้องมารับเอกสารรับรถที่นี่ก่อนด้วย
จากสถานี Central Station เราสามารถนั่งรถไฟสายเดิมที่มาจากสนามบินย้อนไปก็ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินชมเมืองไปด้วย ระยะทางประมาณ 1.2 กิโล
ดูสถาปัตยกรรมยุโรปบ้านเค้า ดูโอ่อ่าสวยงามดีแท้ เค้าดูแลตึกรามอาคารต่าง ๆ ได้ดี
เดินเลาะไปเรื่อยๆ ก่อนถึง Marienplatz จะเริ่มมีร้านรวงร้านค้าตามสองข้างทาง แต่ร้านเสื้อผ้าส่วนใหญ่ปิด! เพราะวันนี้คือวันอีสเตอร์…… ใช่ค่ะ ตอนจองตั๋วก็ไม่ได้ดูเล้ยว่าเป็นวันอีสเตอร์ แต่จองแล้วก็ต้องไปลุยดาบหน้า แอบโดนขู่มาเล็กน้อยว่าจะหาของกินไม่ได้ด้วยนะ เครียดกันเลย เพราะเรื่องกินเรื่องใหญ่ แต่พอไปเห็นที่สถาน central ก็คิดว่า ตูไม่อดตายแล้วล่ะ 5555
ป้าเดินนักเลงมากค่ะ 5555
เดินผ่านร้านรวงที่ปิด ๆ มาสักพักก็มาถึง Marienplatz หรือ จัตุรัสกลางเมือง เป็นที่รวมอาคารสำคัญอย่าง New Town hall หรือศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ มันใหญ่โตเว่อร์วังอลังการสะท้านฟ้ามากค่ะ เลนส์ที่มีก็ไม่กว้างพอ กว่าจะหามุมถ่ายเก็บได้เล่นเอาเหนื่อยเลย ผู้คนมากระจุกอยู่ตรงนี้กันเยอะมากกกกค่าาาา ประหนึ่งคนทั้งเมืองมารวมกันอยู่ตรงนี้ สถาปัตยกรรมก็ดูวิจิตรตระการตามีมนต์ขลังพลังบวก นี่มาถึงยืนอ้าปากให้กับความยิ่งใหญ่ของอาคารอยู่พักนึงเลย 5555
เดินเลยมาอีกหน่อยจะเจอ Old Town hall ก็ดูสวยดีแต่เล็กกว่าของใหม่เยอะ
เดินดูอะไรกันสักพักก็เริ่มหิวกันนิดๆ เลยไปเดินหาร้านที่ตั้งใจมากินเป็นร้านเบอร์เกอร์อะไรสักอย่าง ที่คะแนนรีวิวดีเว่อร์จนอยากพิสูจน์ แต่ไปเดินหาอยู่สักพักแล้วหาไม่เจอ ยังแอบคิดว่าหรือร้านเจ๊งไปแล้ววะ เหอเหอเหอ (แต่จริง ๆ แล้วคือร้านหยุดวันอิสเตอร์) สุดท้ายเลือกฝากท้องกับร้านนี้ Rischart คือไม่ใช่อะไร ตั้งแต่เดินมาเนี่ย เจอร้านนี้หลายสาขามาก และคนเยอะทุกสาขา สาขาตรง Marienplatz นี่ก็เช่นกัน คนล้นอย่างกะแจกฟรี มื้อแรกเราขอแบบง่าย ๆ เบา แซนวิช เบอร์เกอร์อะไรนิดหน่อย ๆ พอให้รู้ว่ามาเมืองฝาหรั่ง แต่พอเดินเข้าร้านเค้า โอ้โหหหหหหห ละลานตาจนตาลายเลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินอะไรดี จะสั่งมาหลายๆอย่างก็ไม่ไหว เพราะชิ้นใหญ่คับบ้านมาก ที่ได้ยินมาว่าอาหารทางฝรั่งเค้าจะจานใหญ่ชิ้นโตแบบกินได้ทั้งหมู่บ้าน (อันนี้ก็เว่อร์ไปนิด 5555) คือเรื่องจริงเลอ
หลังจากไปยืนงง ๆ ในดงฝรั่งสักพักก็เลือกมาได้ 2 อย่าง อันแรกบาวาเรียนแซนวิช 4.20ยูโร ไส้เป็นพวกผักดองกับแฮม รสชาติโอเคค่ะ ขนมปังด้านนอกกรอบนิดๆ แฮมนี่ไม่ต้องพูดถึง ของดีอยู่นะ ตัวผักดองนี่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับแซนวิชขึ้นมาอีกหน่อย แก้เลี่ยนดีด้วย แต่ถามว่าว้าวมั้ย ก็ไม่ แต่สำหรับราคาเท่านี้ถือว่าดีอยู่ล่ะ สำหรับใครที่มายุโรปแล้วไม่อยากกินแพงมาก ก็ร้านพวกนี้เลย ราคาไม่แรง รสชาติใช้ได้ อิ่มดีด้วย บอกเลยว่าสั่งมาเนี่ยกินกัน 2 คน ขณะที่หันไปมองโต๊ะรอบๆ ใหญ่กว่านี้เค้าก็กินกันคนเดียว 5555
อีกชิ้นที่สั่งมาคือพิซซ่าล่ะจ้ะ พิซซ่าไซส์จิ๋วหน่อย แต่ถึงจะชิ้นเล็กเครื่องก็แน่นอยู่นะ ชีสนี่ใส่ไม่หวงเลยแป้งก็กรอบอร่อยดี นี่ขนาดไซส์จิ๋วแล้วก็ยังกินกัน 2 คนนะจ๊ะ
เครื่องดื่มแก้วหน้านี้คือช็อคโกแลตร้อน คือดีย์ กินตอนอากาศหนาวขนาดนี้ยิ่งฟินมาก นี่บอกเลยว่าน้องชายพี่เอ๋เมาเครื่องค้างมา ได้ช็อคฯร้อนเข้าไปก็ดีขึ้นมาเลย ส่วนแก้วไกลนั้นคือกาแฟที่คนกินบอกงั้น ๆ อ่ะ 5555
หลังจากกินเสร็จทุกคนก็ลงความเห็นว่า กลับไปนอนเอาแรงกันซักนิดดีกว่า 5555 เพราะตอนนี้เริ่มจะใกล้น็อคกันแล้ว แบบว่าทั้งหนาวทั้งเพลีย เดี๋ยวจะตายก่อนได้เที่ยว ทริปจริง ๆ ยังไม่ได้เริ่มเลย จะเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้ !
อ้อ อาจจะมีคนอยากรู้ว่าหนาวแค่ไหน เห็นบ่นหนาวตลอด blog ก็เอางี้ คือปกติเนี่ย เดือน เม.ย. เนี่ย มันจะต้องเข้าสปริงเนอะ ใบไม้ควรเริ่มผลิดอกออกผลให้เมืองมีสีสันแต่งแต้มเหมือนปิกัสโซมาระบายสีไว้ อุณหภูมิเฉลี่ยเท่าที่ดูมาคือ 15 – 18 องศา แต่ปี 2018 เป็นปีที่อากาศผิดปกติ หนาวยาวนาน ไม่พอ หนาวมากด้วย เหมือนเอลซ่ามาเยือนนาน ขณะที่ยืนอยู่ตรง Marienplatz นั้นอากาศอยู่ที่ 5 องศา! ใบไม้แห้งโกร๋น พอพระอาทิตย์ลับตอนเย็นนี่คือเหลือ 0 องศา แบบ real feel คือ -2! อากาศหนาวไม่พอ ดันมีลมอี้กกกก ฝนตกล่วยยยย ไม่ป่วยคือเก่งมากละค่ะ เพราะมาจากไทยคือสามสิบกว่านะทู้กกกกคนนน
หลังจากกลับมานอนได้ 1 ตื่น ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี แถวที่พักเราเนี่ย ร้างงงงผู้คนประหนึ่งเหมือนอู่ฮั่นตอนไวรัสโคโรน่าระบาดมาก ไม่ต้องถามถึงร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นเราเลยจำต้องกลับมาที่ Marienplatz เพื่อกินมื้อเย็นกันอีกรอบ แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจมากว่าจะไปโรงเบียร์ที่ขึ้นชื่อของเมืองมิวนิค เพราะกลัวเค้าว่ามาไม่ถึง แต่สุดท้ายงง ๆ กะวิธีใช้บริการของร้าน เลยต้องเปลี่ยนแผน และร้านที่เลือกมาทดแทนกันในมื้อนี้คือร้าน Haxnbauer ที่เลือกเพราะรูปข้างล่างนี่ล่ะค่ะ (ดูรีวิวร้านอาหารแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ )
จบวันแรกของทริปกันไปแบบงง ๆ งวย ๆ กะชีวิต เหมือนยังตั้งสติไม่ได้ว่าชั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ อารมณ์เหมือนโดนโปะยามาแล้วเพิ่งฟื้น ล่องลอยเหมือนเป็นวิญญาณที่หาทางเข้าร่างยังไม่ถูก เอาเป็นว่าขอกลับไปตั้งหลักนอนจริงจังกันสักคืน … ก็มารอดูกันว่าในตอนต่อไปว่าพวกเราจะเรียกสติกลับเข้าร่างกันได้มั้ย 5555