เที่ยวคันไซ ตอนที่ 5 เดินทางสู่เกียวโต ชมความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่วัด Eikando
เข้าสู่วันที่ 4 ของทริปคันไซกันแล้วครับ (ย้อนกลับไปบุกปราสาทฮิเมจิ คลิกที่นี่) เช้านี้ตื่นมาเก็บข้าวของเช็คเอาท์จาก Osaka Hana Hostel แผนเที่ยววันนี้เราจะย้ายที่นอนไปนอนที่เกียวโตกัน 2 คืนครับ เริ่มต้นออกเดินทางกันโดยนั่งรถไฟสาย Midosuji line 6 สถานี ไปที่ Shin-Osaka แล้วเดินทางต่อด้วยรถไฟ Limited Express Thunderbird ไปสถานี Kyoto โดยใช้ JR-West Kansai Wide Area Pass วันสุดท้าย จากนั้นเอากระเป๋าไปเก็บที่ Backpacker K’s House Hostel แล้วไปเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่วัด Eikando Nanzenji และไปปิดท้ายมื้อเย็นที่ Gion
วันนี้เป็นวันจันทร์ แม้จะเป็นเวลา 9 โมงแล้ว แต่ปริมาณคนในรถไฟก็ยังคงหนาแน่นกว่าวันหยุดเยอะ
มื้อเช้าวันนี้เรากินกันที่ Cafe Sancho อยู่ชั้น 1 JR Central Shin-Osaka Station Building สถานี Shin-Osaka
(ดูตำแหน่งผ่าน Google Map คลิกที่นี่)
ร้านอาหารเช้าที่สถานีส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่อนุญาติให้สูบบุหรี่ หรือแม้จะแยกส่วนไว้ก็ไม่ต่างกันเพราะร้านค่อนข้างเล็กกลิ่นบุหรี่ก็กระจายไปทั่วอยู่ดี
อาหารเช้าจะเป็น Set รวมกาแฟหรือชา ผมสั่งแฮม ขนมปัง ไข่ดาว ราคา 600 เยน
น้องปลาสั่ง แซนวิชทูน่า ไข่ต้ม กับ ผลไม้ ราคา 550 เยน
โดยรวมแล้วรสชาติพอใช้ได้ มื้อนี้หมดไป 1150 เยน
อิ่มแล้วก็ไปรอรถกัน หลังจากใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมา 4 วัน การเดินหาชานชลาก็สามารถทำได้ไม่ยากนัก
Thunderbird เป็นรถไฟ Limited Express แบบเดียวกับ Haruka ที่เรานั่งมาจากสนามบิน โดยรถจะวิ่งไปสถานี Kyoto โดยไม่จอดป้ายระหว่างทางเลย ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ ในส่วนการใช้บัตร JR-West Kansai Wide Area Pass สามารถใช้นั่งไปสถานี Kyoto ได้ เฉพาะ Thunderbird กัน Haruka ได้เท่านั้น ไม่สามารถนั่ง Shinkansen ไปได้ (อ่านรายละเอียดการใช้บัตร JR-West Kansai Wide Area Pass เพิ่มเติม คลิกที่นี่)
ที่นั่งภายในก็นั่งสบาย ระยะห่างระหว่างที่นั่งก็กว้างขวาง
ระหว่างทางผ่านกำแพงรูปช็อกโกแลต Meiji เดาว่าน่าจะเป็นโรงงานของ Meiji เอง … เค้าเข้าใจทำดีเนอะ
มาถึงสถานีเกียวโตแล้ว ก่อนมาเราสองคนก็ทำการบ้านมาแล้วว่าสถานีเกียวโตนี่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ ปกติสถานีใหญ่จะออกแบบกว้าง แต่ที่นี่สูง 11 ชั้น มีห้างอยู่ 3 ห้าง ด้านหน้าสถานีมีอีก 1 แถมข้าง ๆ มี BicCamera ตรงข้ามสถานีมี Yodobashi อีก เรียกว่า อยากได้อะไรแถวนี้มีให้เลือกหมด
ตรงข้ามสถานีมีโรงแรม Kyoto Tower ซึ่งเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของที่นี่ และจุดนี้เป็นต้นสายรถบัสเกือบทุกสายจะไปไหนในเกียวโต ให้มาเริ่มจากที่นี่ได้เลย
ถ่ายรูปเล่นสักพัก เราก็ไปเดินซื้อของที่ BicCamera ก่อน ซื้อเสร็จก็เที่ยงกว่า ๆ เลยเดินกลับมาหาอะไรกินที่สถานี ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกเป็นร้อยร้าน เราเลือกร้าน Katsukura สุดยอดร้านทงคัตสึ ที่หลายคนบอกว่าห้ามพลาด
(ดูรีวิวเต็ม ๆ ของร้าน Katsukura คลิกที่นี่)
อิ่มแล้วก็เดินไปที่พักได้ จากสถานีเกียวโต เดินไปที่ K’s House Hostel ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร จริงๆ ขึ้นรถเมล์ก็ได้นะครับ จากตรงสถานีเกียวโตเลย รถเมล์สาย 206 , 17 แต่ผมกับน้องปลาชอบเดินครับ อากาศก็กำลังดี เดินได้สบายๆ เลยล่ะ
เดินเรื่อยๆ ดูบ้านดูเมืองเค้าไปเพลินๆ ก็มาถึงที่พักแล้วล่ะ ตอนนั้นประมาณบ่ายสอง ยังไม่สามารถเข้าห้องได้ เราเลยฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วออกเที่ยวกันเลย
(ดูรีวิว Backpacker K’s House Hostel เต็ม ๆ คลิกที่นี่)
ออกจากที่พัก เรามุ่งหน้าไปวัด Nanzenji และ Eikando เพื่อชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันครับ นี่ถือเป็น Highlight ของทริปนี้เลย เราเลือกเดินทางมาปลายเดือน พฤศจิกายน เพราะที่เกียวโตจะเป็นช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วงพอดี แต่ปีนี้ความแดงกลับไม่มากอย่างที่หวังไว้เพราะ ปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้อากาศที่ญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ไม่เย็นพอที่จะทำให้ใบไม้เปลี่ยนสี
การเดินทางจาก K’s House เราเดินประมาณ 300 เมตร เพื่อมาขึ้นรถไฟที่สถานี Shichijo โดยเราต้องนั่งรถไฟสองต่อ ต่อแรกนั่งสาย Keihan Line 3 สถานี จากสถานี Shichijo ไปสถานี Sanjo จากนั้นต่อรถไฟสาย Tozai Line 2 สถานี จาก Sanjokeihan ไปยังสถานี Keage แล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึงวัด Nanzenji แล้ว
ที่นี่เจอรถไฟ 2 ชั้นด้วย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีก็มาถึงสถานี Keage
ที่สถานีมีป้ายบอกทางไปวัดตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหาทางออกไปวัดไม่เจอ
พอออกมานอกสถานีแล้วต้องใช้ Google Map ช่วยหน่อย เพราะไม่มีป้ายบอกทางต่อแล้ว ตอนนี้ภาพเมืองที่เห็นกลายเป็นเมืองที่ไม่มีตึกสูง เหมือนชนบท แต่รถเยอะมาก
เดินตามทางมาเรื่อย ๆ จนเจออุโมงนี้ เลี้ยวเข้าไปเลยครับ
เดินต่ออีกสักพักก็จะเริ่มเจอกับฝูงชนและรถทัวร์(จีน)มากมาย แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
มาถึงวัด Nanzenji แล้ว แต่เดี๋ยวค่อยมาแวะขากลับ ขอเดินผ่านไปวัด Eikando ก่อน เพราะสายรายงานมาว่า วัด Eikando สวยกว่า
(ดูตำแหน่งวัด Nanzenji ด้วย Google Map คลิกที่นี่)
ระหว่างทางก็มีใบไม้แดง ๆ ส้ม ๆ ให้ดูตลอดทาง
วัด Eikando ห่างจาก Nanzenji แค่ 5 นาทีเอง
เจอตู้น้ำ 100 เยน จัดซะหน่อย
ข้างทางเดินจะมีรางน้ำอยู่ น้ำใสไม่มีขยะเลย มีแต่เศษใบไม้ ก็สวยไปอีกแบบ
มาถึงทางเข้าวัดตอนบ่านสามโมงครึ่ง แสงกำลังสวยเลย
(ดูตำแหน่งวัด Eikando ด้วย Google Map คลิกที่นี่)
ค่าเข้าชมวัด Eikando ราคา 1000 เยนต่อคน ถือเป็นวัดที่ค่าเข้าแพงที่สุดในทริปนี้เลย
บรรยากาศภายในวัดสวยงามตามท้องเรื่อง
ภายในตัวอาคารมีพระพุทธรูปด้วยแต่เค้าห้ามถ่ายรูป เลยถ่ายต้นไม้จากข้างในแทน
เดินชมบรรยากาศครบรอบ ด้านล่างมีร้านขายชากับขนมให้นั่งกินชิว ๆ
สั่งถั่วแดงร้อนมากิน 600 เยน ส่วนชาเขียวฟรี อร่อยทั้งถั่วและชาเลยแหละ
กินเสร็จแล้วก็เดินต่อ เจดีย์ด้านบนไม่ได้เดินขึ้นไป ถ่ายจากข้างล่างแทนละกัน
เดินจนพอใจแล้ว ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงครึ่ง ตอนออกจากวัด มีคิวต่อรอเข้าชมวัดตอนกลางคืน ที่นี่มี Light Up เปิดไฟให้ชมด้วย ส่วนคนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ถ้าต้องการชม Light Up ต้องออกมาเพื่อซื้อตั๋วเข้าใหม่อีกที
กลับมาถึงวัด Nanzenji ไม่เหลือแสงให้ถ่ายแล้ว
เปลี่ยนเป็นถ่ายคนแทนละกัน
จากวัด Nanzenji เราเดินกลับมาที่สถานี Keage และนั่งรถไฟกลับทางเดิมแต่ลงที่สถานี Gion-Shijo เพื่อไปเดินเล่นในย่าน Gion กัน
Gion เป็นย่านช็อปปิ้ง และร้านอาหารที่มีการแสดงของเกอิชา แต่ราคาค่าอาหารก็โหดเลยทีเดียว
เดินมาเจอร้าน Yojiya ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปหน้าผู้ญิงกลม ๆ เป็นร้านขายเครื่องสำอางค์ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี สินค้าขึ้นชื่อที่คนไทยใช้กันก็คีอกระดาษซับมัน
(ดูตำแหน่งร้าน Yojiya ด้วย Google Map คลิกที่นี่)
ด้านในเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว(จีน)
หน้าตาของกระดาษซับมันจะเป็นแบบนี้ มีขายทั้งแบบกล่องเดียวหรือเป็น Pack 3 – 10 กล่องด้วย
มีกระดาษซับมันรุ่นฤดูใบไม้ร่วงด้วยนะ เป็นกลิ่นส้มยูสุ ขายดีเชียว
อันนี้ก็น่าสนใจเป็นกระดาษที่พอโดนน้ำจะเปลี่ยนเป็นสบู่ล้างหน้า
ข้อดีอีกอย่างของสาขานี้คือ เวลาเรามีปัญหากับการอ่านภาษาญี่ปุ่นมาก ๆ แล้วถามพนักงาน พนักงานจะถามว่าเรามาจากไหน จากนั้นเค้าจะเดินไปหยิบหนังสือที่แปลคุณสมบัติของสินค้าเป็นภาษาไทยมาให้เราเลย แสดงว่าคนไทยเป็นลูกค้าร้านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สินค้าอย่างอื่น อย่างเครื่องสำอางค์ทั้งบำรุงและสีสันก็มีให้เลือกมากมาย
ซ็อปเสร็จแล้วจ้า
ก่อนกลับที่พักเราแวะหาอะไรกินหน่อย ข้อเสียของเกียวโตข้อนึงก็คือ ร้านรวงต่าง ๆ จะพร้อมใจกับปิดบริการในเวลา 19.00 น. ทำให้หาของกินยาก ผมเจอร้านราเม็งอยู่ร้านนึงกำลังจะปิด เลยเข้าไปกินเลย
เดินเข้าไปร้านค่อนข้างเล็ก ในร้านมีแต่นักท่องเที่ยวกินอยู่
น้ำที่เสิร์ฟเป็นน้ำร้อน ดูเมนูแล้วตกใจราคาราเม็งชามนึง 1500 – 1600 เยน คนขายก็เชียร์ว่าอร่อย ๆ สั่งเลย
ชามแรกของน้องปลา ราเม็งเนื้อปู 1680 เยน รสชาติธรรมดามาก มีเนื้อปูเท่าที่เห็น …ปวดใจ
ของผม อูด้งเนื้อเป็ด 1480 เยน รสชาติดีกว่าราเม็งเนื้อปูหน่อยนึง แต่เทียบราคากับของที่ได้ก็เจ็บปวดอยู่ดี
โดยรวมแล้วมื้อนี้ถือเป็นมื้อที่น่าผิดหวังที่สุดในทริปนี้เลย ราคาแพง แถมรสชาติไม่โดนอีกต่างหาก
เดินออกมาประมาณ 200 เมตรนึกได้ว่าลืมถ่ายหน้าร้าน เลยย้อนกลับมาพบว่าร้านปิดเรียบร้อย 5555
ดูเวลาตอนนี้ ทุ่มครึ่ง เราสองคนเดินดูอะไรอีกนิดหน่อยแล้วก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปสถานี Shichijo แล้วเดินกลับที่พัก พรุ่งนี้เรามีภาระกิจตื่นแต่เช้าาาาเพื่อไปถ่ายรูปที่ป่าไผ่ก่อนนักท่องเที่ยวจะแห่กันมา (คลิกที่นี่ เพื่อไปเที่ยวต่อพรุ่งนี้เลย) … สำหรับวันนี้ พักผ่อนเอาแรงกันก่อนครับ