เที่ยวสิงคโปร์ ฉบับครอบครัว ตอนที่ 1/3
สวัสดีค่ะ ทริป เที่ยวสิงคโปร์ ทริปนี้เป็นทริปพิเศษซะหน่อยค่ะ
เพราะเป็นทริปที่เราสองคนพาป๊าม้าของพี่เอ๋ ไปเที่ยวด้วยค่ะ
ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ปกติเราจะไปกันแค่ 2 คน
ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะป๊าม้าเคยไปเที่ยวสิงคโปร์เมื่อสมัยพี่เอ๋เด็ก ๆ
เลยอยากกลับไปดูอีกสักทีว่ามันเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
อย่างว่างั้นงี้เลย มีปลาคนเดียวนี่แหละที่ยังไม่เคยไปเลยซักครั้ง แหะแหะ
ไปเที่ยวรอบนี้ใช้บริการ Airasia ค่ะ จองโปรฯกันข้ามปี
ได้มาในราคาไปกลับราคา 31xx บาท / คน
เป็นประเทศที่นอกจากตั๋วเครื่องบินถูกแล้ว
นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นที่กินที่นอนที่เที่ยวแพงหมด 5555
ทริปนี้เราวางแผนไป 4 วัน 3 คืน ค่ะ
ที่เที่ยวนี่มีหมดทุกรูปแบบ แต่ก็มีปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลาที่เที่ยวอยู่ที่นั่น
เพราะเนื่องจากมีผู้ใหญ่มาด้วย แถมม้าเพิ่งผ่าเข่าทั้ง 2 ข้างมาได้ไม่กี่เดือน
ถือเป็นเที่ยวเต็มสตีมครั้งแรกของม้าค่ะ แผนก็เลยเอาตามที่สะดวกกัน
เราออกเดินทางกันไฟลท์เช้านิดนึง 6.25 น. ที่สนามบินดอนเมืองค่ะ
ถึงสิงคโปร์เวลา 9.40 น. ซึ่งเวลาที่นี่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
ลงเครื่องแล้วเสียเวลาใน Terminal อยู่หลายนาทีเพราะเดินหา Sim ราคา 15 SGD
แต่ละร้านมีขายแต่ 25 กับ 50 SGD เลยตัดสินใจไปหาเอาข้างหน้า
การเดินทางในสิงคโปร์ทริปนี้ใช้ Taxi เกือบ 100%
เนื่องจากค่ารถ Taxi เฉลี่ยเมือเดินทาง 4 คน ราคาไม่ต่างจาก MRT แต่สะดวกกว่ามาก
อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ยินมาคือ Taxi ที่นี่อัธยาศัยดีมาก
เราพิสูจน์แล้ว … เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเรามาจากเมืองไทย
จะมีถามถึงสถานการณ์บ้านเมืองเราด้วย
(ช่วงนั้นบ้านเราเพิ่งมีรัฐประหารใหม่ ๆ)
และ Taxi เกือบทุกคันที่คุยเรื่องนี้ จะบอกว่าชอบเมืองไทยทุกคน
ตอนนั่ง Taxi เข้าเมืองพอจะขึ้นทางด่วน
คนขับมีบอกให้เตรียมกล้องด้วย เพราะเราจะผ่าน Marina Bay Sand ด้านซ้าย
ถ่ายภาพเดียวได้ครบทั้ง Garden by the bay, Singapore Flyer
และ Marina Bay Sand แทบจะกลับรถไปสนามบิน บินกลับบ้านได้เลย
ภารกิจเกือบครบแล้ว 5555
ระหว่างทางจากสนามบินไปโรงแรม ถนนหนทางที่นี่สวยงามสบายตามากเลยค่ะ
ต้นไม้เต็มเมืองไปหมด ต้นใหญ่แผ่นกิ่งก้านสาขา ดูแล้วร่มรื่นดีจัง
เสียดายนั่งรถแล้วถ่ายไม่เคยได้เลย 555
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาทีก็มาถึงโรงแรมค่ะ
Santa Grand Hotel Lai Chun Yuen ย่านไชน่าทาวน์
อยู่บนถนน Temple Street (จริง ๆ เป็นซอย) กับ Smith Street
อารมณ์เหมือนเยาวราช หรือ สำเพ็งบ้านเรา (แต่สะอาดกว่าเยอะ)
ภายในโรงแรกตกแต่งด้วยสีแดงเป็นหลักค่ะ
ล็อบบี้นี่แด๊งงงง แดง ให้อารมณ์จีนสุดๆ
มาถึง รร ประมาณ 11 โมง พอดีมีห้องว่าง พนักงานเลยให้เข้าห้องได้เลยค่ะ
โรงแรมมีลักษณะเป็นเหมือนตึกแถวประมาณสัก 6 – 7 ห้องต่อกัน
มีทั้งหมด 3 ชั้นมีห้องพักประมาณ 70 ห้องได้ (เดี๋ยวจะได้รู้ว่ายัดเข้าไปได้ไง)
มีบริการชากาแฟฟรีที่ชั้น 2 และ 3
แต่ชั้น 2 มีชุดโซฟาให้นั่งเล่นได้ด้วย
มาถึงห้องแล้วค่ะ เปิดประตูเข้าไปที่เห็นม่านนั่นคือสุดแล้ว ห้องมีแค่นั่นแหละ
ปลาว่าห้องที่นี่ไม่ต่างกับที่โตเกียวนะ ห้องเล็ก ๆ แต่ราคาเอาเรื่อง
จากประตูหันทางขวาจะเป็นโต๊ะกับโซฟา และ ทีวี
ข้างโซฟามีซอกเล็กที่วางตู้เสื้อผ้าไว้
ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาเป็นเตียง มีห้องน้ำข้างๆ
ห้องน้ำจะอยู่ติดกับประตูทางเข้าเลย
อ้อ โรงแรมที่นี่ไม่มีตู้เย็นนะค้าาา
แต่มีน้ำเปล่าให้วันละ 2ขวด
ห้องน้ำก็กว้างพอประมาณนะคะ แต่ไม่กั้นแยกส่วนเปียกส่วนแห้ง
อาบน้ำทีน้ำนองทั้งห้องเลย
ข้อดีของที่นี่คือ ให้ปลั๊กที่เป็น Universal มาเลย ไม่ต้องใช้หัวแปลง (แต่ซื้อไปแล้ว)
ห้องนี้ว่าเล็กแล้ว ห้องอื่น ๆ เล็กกว่านี้อีก เรียกว่าห้องนี้ใหญ่ไปเลย
Santa Grand Hotel Lai Chun Yuen อยู่ในตำแหน่งที่ดีมากเลยนะคะ เดินทางสะดวก
โรงแรมเข้าได้ 2 ด้าน ด้านหนึ่งติดถนน Temple Street เวลาเรานั่งรถมาจะเข้าด้านนี้
หรือถ้าคนเดินทางด้วย MRT ก็จะเดินมาทางถนน Temple street นี่ไปเหมือนกัน
ระยะห่างจากโรงแรม Santa Grand ไป สถานีรถ MRT นี่น่าจะประมาณ 200 ม. เองค่ะ
ส่วนอีกด้านของโรงแรมจะเป็น Chinatown Food Street ชื่อถนน Smith Street
ซึ่งเป็นถนนขายอาหารที่เปิดช่วงตอนเย็น ๆ
เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้ ตกเย็นนี่ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินเลยค่ะ
เก็บของเข้าห้องพักเรียบร้อยก็ออกมาหาอะไรหม่ำกันค่ะ
จากการหาข้อมูลมา มีคนบอกว่ามีร้านติ่มซำอร่อยอยู่ร้านนึงไม่ไกลจากโรงแรมพอดี
แค่เดินออกทางด้านถนน Smith Street แล้วเลี้ยวขวา เดินไปประมาณ 50 เมตร
ร้านจะเป็นตึกแถว มีเก้าอี้สีแดงตั้งหน้าร้านนี่ล่ะค่ะ ชื่อร้าน “TakPo” ค่ะ
ร้านเป็นครัวเปิดให้เห็นเลยว่าทำอาหารยังไง
สั่งชาจีนมากินแก้เลี่ยนค่ะ ชาที่นี่เค้าคิดราคาเป็นหัว เติมได้ตลอดค่ะ
วิธีสั่งอาหารเค้าจะมีใบออเดอร์มาให้เราติ๊ก ๆ ค่ะ
รอบแรกเลยสั่ง ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขนมผักกาด เผือกทอด ทาร์ตไข่
ซาลาเปาไส้ครีมลาวากับหมูแดง และ ฮะเก๋า (แต่ไม่ได้ถ่ายมาซะงั้น)
แอบกระซิบว่า เราว่าซาลาเปากับก๋วยเตี๋ยวหลอด ร้านแยงซีเจียง ที่เชียงใหม่อร่อยกว่าอ่ะ แหะแหะ
สั่งเกี้ยวกุ้งมาเพิ่ม ที่นี่เค้ากินกะมายองเนสล่ะ
ไม่คุ้นเลย เค้าจาเอาน้ำจิ้มบ๊วยอ่าาา นี่ดีที่เกี๊ยวกุ้งกรอบดี
สุดท้ายสั่งคะน้าฮ่องกง แอบกระซิบว่านี่เป็นจานที่อร่อยที่สุดของมื้อนี้
และเป็นคะน้าฮ่องกงที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ด้วย
(ไปกินอีกหลายร้าน ไม่โดนเท่าร้านนี้อ่ะ)
อิ่มแล้วไปเที่ยวกันต่อค่ะ จุดหมายแรกวัดเขี้ยวแก้ว
วัดเขี้ยวแก้วนี่อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 100 เมตร (ใกล้โคตร ๆ) เดินแป๊บเดียวถึงแล้ว
ภายในมีเขี้ยวแก้วอยู่ที่ชั้น 4 ของวัด แต่เค้าห้ามถ่ายรูป
ชั้นล่างมีพิธีสวด พร้อมกับชุดทำบุญ
ชุดนี้ราคา 20 SGD เขียนคำอธิฐานแล้วจุดไฟเอาไปวาง
ทำบุญเสร็จขึ้นไปชั้นบนกันค่ะ ชั้นดาดฟ้ามีสวนอยู่ด้วย
มีระฆังใบใหญ่ใช่วิธีหมุนครบรอบจะตี 1 ครั้ง
ผนังภายในหอระฆังจะประดับด้วยพระมากมาย
ลงมาชั้น 3 จะเป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมพระพุทธรูปจากประเทศต่าง ๆ
ชั้น 2 จะเป็นที่รวบรวมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่น
ออกจากวัดเดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม มี Maxwell Food Centre
ข้างในมีข้าวมันไก่ Tian Tian อ่านรีวิวมาเค้าว่าอร่อย เลยขอชิมซะหน่อย
(เอ๊ะ! เหมือนเมื่อกี้เพิ่งกินมา 555)
จริง ๆ ในฟู้ดคอร์ทมีร้านอาหารเยอะมากกกเลยค่ะ
แต่มีแค่ร้าน tian tian ร้านเดียวที่มีแถวต่อยาวแบบนี้
เวลาซื้อต้องเข้าคิวจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยไปเข้าคิวรับอาหาร
ราคาก็อย่างที่เห็นค่ะ
ได้มาแล้วค่ะ จานนี้แพงสุดในร้าน
ข้าวมันไก่เนื้อน้อง 4.20 SGD
รสชาติ อืมมม ไม่ถูกปากพวกเราเลยอ่ะ
ข้าวมันก็ไม่หอมมันเท่าไหร่ ส่วนไก่เนื้อนุ่มอร่อยดีค่ะ
แต่น้ำจิ้มนี่สิ คือมันไม่คุ้นมั้ง น้ำจิ้มเค้าแปลกๆ อ่ะ
ส่วนตัวเราว่าน้ำจิ้มของไทยอร่อยกว่านะ
จริง ๆ มีซื้อผัดขนมผักกาดมากินด้วยแต่ลืมถ่ายรูป ของที่นี่เค้าไม่มีถั่วงอกนะ
อิ่มแล้ว เราพาป๊าม้ากลับไปพักที่โรงแรมค่ะ
แล้วออกไปเดินหาซื้อ Sim ที่ 7-11 เข้าไป 2 ร้านไม่มีขาย
ไปเจอที่ร้านสะดวกซื้อของ Cheers เป็น Sim prepaid
ราคา 15 SGD มีเงินใน Sim 18 SGD
แต่เค้าไม่ set ให้ต้องมาทำเอง ดูตามคู่มือก็ไม่ได้ยาก
เลือก Package Internet 3G (6GB) ใช้ได้ 3 วัน ราคา 15 SGD
แค่เดินหาซื้อซิมพี่ก็เหนื่อยแล้ว แหะแหะ
ได้ซิมเรียบร้อยก็กลับไปรับป๊าม้าไปเดินเล่นกันค่ะ
ย่าน Shopping ของสิงคโปร์ ถนน Orchard road
บอก Taxi ว่าจะไปซื้อกระเป๋ากับรองเท้า
พี่เค้าจัดให้มาส่งที่ Takashimaya
เข้าไปเดินดูแล้ว โอ๊ยยย พี่ล่ะขนลุก แต่ละแบรนด์ที่อยู่ในนี้ 555
แต่ก็เดินเรื่อยเปื่อยในห้าง จนขึ้นมาถึงชั้นบน
เจอร้าน PAUL ค่ะ ม้าไปยืนดูแล้วบอกว่าเค้กน่ากินเชียว เลยสั่งมาลองกินดู
เสียดายที่พี่เอ๋เค้าลืมถ่ายรูป มัวแต่กิน 555
ราคาเค้กก็ไม่ต่างจากร้านดี ๆ ในเมืองไทยเท่าไหร่ ชิ้นละประมาณ 8 SGD
รสชาติใช้ได้ ร้านอยู่ใกล้ ๆ กับร้านหนังสือ Kinokuniya
อ้อ แอบเม้าท์ kinokuniya สาขานี้ ใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ปลาเข้าไปเดินสูดกลิ่นหนังสือเล่น มีความสุขเล็ก ๆ อิอิ
เปลี่ยนห้างเดินกันซะหน่อย ถนน Orchard นี่เค้ามีห้างเยอะจริงๆ นะ
เรียงกันเป็นตับ เป็นห้างแบบหลายกลุ่มลูกค้าด้วย
ออกจากห้างแรกก็มาเจอห้างนี้ Isetan แต่ไม่ได้เข้า
เดินเลยมาเรื่อย ๆ มาเข้าห้างนี้แทนค่ะ ION
บ้านเราไม่มีห้างนี้ ขอเข้าซะหน่อย 5555
แล้วก็ไม่ผิดหวัง เข้าห้างนี้ไปได้เสียทรัพย์จริงๆ 5555
เราได้ช็อคโกแลต Royce มาให้ป๊ากับม้าลองชิม
ปลาก็ได้กระเป๋า รองเท้า ยี่ห้อ Mitju
เป็น Local brand ที่ไม่มีขายในบ้านเรา
ราคาไม่แพงมาก แถมแบบน่ารักด้วย
และฝากท้องมื้อเย็นที่ Food Court ในห้างนี้ด้วย
(พี่เอ๋ลืมถ่ายรูปมาอีกละ)
จริง ๆ จะเดินต่อ แต่เกรงใจป๊าม้าค่ะ
จะเข้ามันทุกห้างก็กระไรอยู่อ่ะนะ แหะแหะ
พออิ่มมื้อเย็นเลยเดินทางกลับโรงแรมค่ะ
แต่ ๆ ๆ ตอนนั่งรถเข้าซอยโรงแรมมา
สายตาเหลือบไปเห็นร้านขนมหวานร้านนึง ที่ผู้คนล้นหลาม
ใช่ค่ะ ไม่ควรพลาดใช่มั้ยคะ อิ่มคาวแล้วควรต่อของหวานเนอะ
(หาข้ออ้างไปเรื่อย 555)
ร้านนี้ชื่อร้าน Mei Heong Yuen
เข้าไปแล้วถึงได้รู้ว่า ร้านเค้าน่าจะดังในสิงคโปร์มากเลยนะ
เพราะในร้านตกแต่งไปด้วยภาพข่าวของร้านเต็มไปหมด
ลูกค้าส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นคนท้องถิ่นนะ (เดาเอา)
พอได้โต๊ะนั่ง พนักงานก็เอาเมนูมาให้ดูค่ะ
แต่ตอนสั่งต้องไปสั่งที่แคชเชียร์ แล้วจ่ายตังค์เลย
สักพักจะมีพนักงานยกของที่เราสั่งมาเสริ์ฟให้ที่โต๊ะ
นี่คือโฉมหน้าของที่เราสั่งมาค่ะ
ถ้วยขาวคือน้ำอัลมอนล์ น้ำสีแดงคือลูกบัวถั่วแดง
และมะม่วงอะไรสักอย่าง ใส่สาคูกับส้มโอด้วย (คิดได้ไง)
ถ้วยมะม่วงนี่แปลกดีอ่ะ แต่กินแล้วก็สดชื่นดี
แต่คนอื่นๆเค้าชอบลูกบัวถั่วแดงกัน
ปิดท้ายวันนี้ไปด้วยของหวานแบบนี้ล่ะค่ะ
นับไม่ถูกว่ากินไปกี่มื้อ คือกินยิบย่อยทั้งวัน 555
ตามไปเที่ยวกันต่อในตอนที่ 2 นะคะ มาดูกันว่าครอบครัวเราจะไปเที่ยวที่ไหน